1 กรกฎาคม 2552

เปิดหลักฐาน สนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ระบุชัด “เกาะกูด” คือสมบัติชาติไทย!

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 30 มิถุนายน 2552

นักวิชาการ กม.ทางทะเล ชี้ชัด “เกาะกูด” และทรัพยากรในอ่าวไทย คือสมบัติของชาติไทยที่ได้ระบุไว้อย่างชัดเจนในสนธิสัญญากรุงสยาม-กรุง ฝรั่งเศส ตั้งแต่ปี ค.ศ.1907 กัมพูชาจึงไม่มีสิทธิในพื้นที่เกาะกูด รวมถึงเส้นแบ่งเขตแดนทางทะเลที่เขียนขึ้นมาเองก็ไม่สามารถนำมากล่าวอ้างได้

จากกรณีที่มีกระแสข่าวว่า ประเทศกัมพูชาได้จัดทำแผนที่และลากเส้นเขตหลักแดนทางทะเลของประเทศกัมพูชา แล้วเตรียมประกาศเป็นหลักเขตแดนร่วมกับไทย แต่แผนที่ดังกล่าวได้มีการลากเส้นเขตแดนผ่านเข้ามาในบริเวณเกาะกูด กล่าวคือได้มีการอ้างว่าพื้นที่บนเกาะกูดครึ่งหนึ่งเป็นของกัมพูชานั้น

วันนี้ (30 มิ.ย.) “ASTV ผู้จัดการออนไลน์” ได้รับข้อมูลและหลักฐานอันเป็นประโยชน์เกี่ยวกับกรณีดังกล่าวจากนักวิชาการ ด้านกฎหมายทางทะเล คณะลอจิสติกส์ มหาวิทยาลัยบูรพา ที่เปิดเผยข้อมูลว่า แท้จริงแล้วสิ่งที่ทางการกัมพูชากล่าวอ้างว่า “เกาะกูด” เป็นของกัมพูชานั้น ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด เพราะใน “สนธิสัญญาระหว่างกรุงสยาม และกรุงฝรั่งเศส ปี ค.ศ.1907” (ซึ่งปัจจุบันก็มีหลักฐานดังกล่าวปรากฏอยู่ทั้งที่ในกรมสนธิสัญญา กระทรวงการต่างประเทศของไทย และกระทรวงการต่างประเทศของฝรั่งเศส) ได้ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า

“รัฐบาล ฝรั่งเศส ยอมยกดินแดนเมืองด่านซ้าย และเมืองตราด กับทั้งเกาะทั้งหลายซึ่งอยู่ภายใต้แหลมสิงห์ลงไปจนถึงเกาะกูดนั้นให้แก่กรุง สยาม”

นอกจากนี้ เมื่อฝรั่งเศสได้ทำสัญญาระบุว่าดินแดนดังกล่าวเป็นของประเทศไทยแล้ว ข้อมูลดังกล่าวก็ได้ถูกนำมาประกาศในราชกิจจานุเบกษาของไทย เมื่อวันที่ ๗ กรกฎาคม ร.ศ.๑๒๕ (ค.ศ.๑๙๐๗) โดยระบุข้อความว่า “รัฐบาลฝรั่งเศส ยอมยกดินแดน เมืองด่านซ้าย และเมืองตราดกับทั้งเกาะทั้งหลาย ซึ่งอยู่ภายใต้แหลมสิงลงไป จนถึงเกาะกูดนั้น ให้แก่กรุงสยาม” เช่นเดียวกับในสนธิสัญญา ดังนั้นจึงมีหลักฐานปรากฏอย่างชัดเจนว่า “เกาะกูด” เป็นสมบัติของไทยอย่างแน่นอน

นักวิชาการผู้นี้กล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า ตั้งแต่อดีต เกาะกูดถือเป็นอาณาเขตพื้นที่ของไทยมาเป็นเวลานานแล้ว โดยบนเกาะพบว่ามีหลักศิลาจารึกโบราณแผ่นหนึ่ง ระบุไว้อย่างชัดเจนว่าพื้นที่บริเวณเกาะกูดแห่งนี้เป็นแผ่นดินสยาม อีกทั้งยังมีการสร้างกระโจมไฟเอาไว้อำนวยความสะดวกด้านการเดินเรือทางทะเล ของคนไทย ซึ่งในปัจจุบันทั้งพื้นที่ซึ่งแผ่นศิลาจารึกตั้งอยู่ และกระโจมไฟดังกล่าวก็อยู่ในเขตพื้นที่ของทหารเรือไทยดูแล จึงยิ่งเป็นสิ่งตอกย้ำได้อย่างชัดเจนว่าไทยได้ถือครองกรรมสิทธิ์ในแผ่นดิน เกาะกูดนานมากแล้ว และทางกัมพูชาเองก็ไม่เคยอ้างสิทธิ์ใดๆ ดังนั้น การที่กัมพูชาเขียนแผนที่เขตแดนใหม่ว่าเกาะกูดเป็นของกัมพูชาครึ่งหนึ่งนั้น จึงไม่ถูกต้อง ซึ่งไทยก็จะต้องมีการดำเนินการเจรจาและชี้แจงทำความเข้าใจในเรื่องดังกล่าว ต่อไป

ทั้งนี้ หากสังเกตจากในภาพแผนที่ที่ฝ่ายกัมพูชาเป็นคนขีดเส้นแบ่งขึ้นมาใหม่ (เส้นประยาว) จะเห็นได้ว่า แผนที่ซึ่งทางกัมพูชาวาดขึ้นนั้น มีการตัดแบ่งเกาะกูดออกเป็น 2 ส่วน เพื่อที่เมื่อลากเส้นเขตแดนทางทะเลแล้วจะปรากฏว่าพื้นที่กรรมสิทธิ์ทางทะเล ของกัมพูชา เลยเข้ามาในเขตอ่าวไทยมากยิ่งขึ้น (ซึ่งบริเวณนั้นเองที่เต็มไปด้วยทรัพยากรปิโตรเลียม และน้ำมัน) และหากกัมพูชาจะลากเส้นแบ่งเขตแดนทางทะเลตามที่ควรจะเป็นตามหลักสากล นั่นคือ 12 ไมล์ทะเลจากแผ่นดินของกัมพูชาแล้วก็ได้แนวเขตตามเส้นประสั้น ซึ่งจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าอาณาเขตทางทะเลของกัมพูชาไม่เหลื่อมล้ำเข้ามาใน พื้นที่อ่าวไทย

แต่อย่างไรก็ตาม นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยบูรพาผู้นี้ระบุว่า สาเหตุที่ตนนำหลักฐานและข้อมูลดังกล่าวมาเปิดเผยนั้นก็เพื่อต้องการให้ ประชาชนทั่วไปได้รับรู้ข้อเท็จจริงถึงกรณีดังกล่าว และคลายความกังวลว่าพื้นที่ทะเลในอ่าวไทยจะต้องตกไปเป็นของประเทศกัมพูชา เพราะเท่าที่ตนได้ทำการศึกษาค้นคว้ามานาน ซึ่งก็ได้พบหลักฐานมากมายตามที่กล่าวมา ประกอบอีกหนึ่งหน้าที่ของตนนั้นก็ได้ช่วยงานด้านพื้นที่ทางทะเลของกระทรวง การต่างประเทศมานาน ก็ทำให้ทราบว่าเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องของข้อพิพาทที่กระทรวงการต่างประเทศ ของไทยและกัมพูชาจะต้องนำหลักฐานมาอ้างอิงและอธิบายกับนานาประเทศต่อไป ไม่ได้หมายความว่าเมื่อกัมพูชาทำแผนที่มาแล้วไทยจะต้องยอมรับเสมอไป

“คือที่นำเรื่องนี้มาพูดก็คือ ต้องการอยากจะบอกกับประชาชนทั่วไปว่า ไม่ต้องกังวล เพราะทางกระทรวงการต่างประเทศของไทย ในฝ่ายเทคนิค ฝ่ายกฎหมาย หรือกรมต่างๆ ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมานาน และก็ได้รับการยอมรับจากต่างประเทศมาโดยตลอด ดังนั้น ไม่ต้องกังวล ยืนยันได้ว่าเกาะกูดยังเป็นของไทย และจะไม่เสียไปให้ใครโดยเด็ดขาด ซึ่งเรื่องข้อพิพาทในเขตแดนทางทะเลของเรากับกัมพูชาก็ต้องมีการตกลงเจรจา แบบทวิภาคีกันต่อไป”

พร้อมกล่าวด้วยว่า “ส่วนที่มีการกังวลกันว่าจะมีเรื่องการเมืองเกี่ยวข้องหรือไม่ อันนี้ผมว่าไม่นะ เพราะการเจรจาเรื่องแบบนี้มันถือเป็นเรื่องใหญ่ซึ่งฝ่ายเทคนิคของกระทรวง ต่างประเทศ เป็นผู้เจรจาดำเนินงาน รัฐบาลหรือรัฐมนตรีต่างประเทศ เป็นเพียงผู้อำนวยความสะดวกในการเจรจาเสียมากกว่า แล้วอีกอย่างหากมีการเปลี่ยนแปลงเรื่องเขตแดนจริงก็ต้องได้รับการยอมรับจาก ทุกฝ่าย และนานาประเทศ ตลอดจนต้องมีการลงในราชกิจจานุเบกษาที่ประมุขของทั้งสองประเทศจะต้องลงนาม จึงอยากให้ประชาชนได้มั่นใจว่าเรื่องนี้ว่าจะมีการดำเนินการอย่างโปร่งใส และถูกต้องที่สุด”

27 พฤษภาคม 2552

เพลงเก็บไว้ในความทรงจำ



เพลงเก็บไว้ในความทรงจำ

คำร้อง-ทำนอง : ศรัณยู วงษ์กระจ่างเรียบเรียงดนตรี : สมิทธ์ บัณฑิตย์นักดนตรี : วง ก.ไก่ + วงฆารวาส



วันวาน ไม่เคยหวนคืน ย้อนมา

เวลา เมื่อผ่านไปแล้ว ก็แล้ว

ดวงดาว ที่เคยพร่างพราว วับแวว

ผ่านคืน ผ่านแล้ว ก็ผ่านเลย

แต่ใจเรา ยังคง เหมือนเคย เหมือนเดิม

คอยเติม พลัง ให้กัน มั่นไว้

คอยเตือน จดจำ ย้ำจำ ฝังใจ

จนตาย จะไม่ลืมเลือน


(๑) ที่เคยหยัดยืน ฝืนทน สู้ฝ่าฟัน

นับร้อยร้อยวัน เรารวมกัน อย่างไร

ยังจำได้ไหม เราตะโกน ส่งเสียงว่าไง...(ไล่ใคร)

ทุกลมหายใจ เก็บไว้ในความทรงจำ


วันใด หากใจ หวนคิดถึงกัน

ในวัน เนิ่นนาน อีกนานแค่ไหน

ตัวเรา จะไกล แสนไกล เท่าไร

หัวใจ คงอยู่ ใกล้กัน



(๒) ให้จำบทเพลง ที่เราเคยร้องกัน

ทุกครั้ง ทุกวัน เราเต้นกัน ใช่ไหม

ที่กิน ที่นอน ที่อาบน้ำ และ ที่ใดๆ

ทุกลมหายใจ เก็บไว้ในความทรงจำ

ยังจำ ที่เรา ทุกข์ทนร่วมกัน

บางวัน ที่มี รอยยิ้ม สดใส

บางที ที่เรา ร้องไห้ เสียใจ

เก็บมันเอาไว้ อย่าลืม


(๓) กี่หมื่นรอยเท้า ที่เรา เดินก้าวไป

แม้แดดเผากาย ยังสบายอยู่ดี

กี่พายุฝน ถั่งโถม ในทุกทุกที่

ยังจำได้ดี และคิดถึงอยู่ทุกวัน


**พี่น้องเอ๊ย พี่น้องเอ๊ย

พี่น้องเอ๊ย ยังคุ้นเคยเสียงนี้ไหม

**เราไม่ถอย เราไม่ท้อ

เราเฝ้ารอ รวมพลังกันต่อไป

**พ่อครับ แม่ครับ

พี่พี่ครับ น้องน้องครับ

**ไม่เหน็บหนาว ไม่เหน็บหนาว

พี่น้องเรา ไม่ต้องกลัวสู้ต่อไป


Solo ๑

จดจำขึ้นใจ เราทำเพื่อใคร

เผ่าพันธ์เชื้อไทย ไม่ให้ใครครอบครอง

เรารักชาติไทย แผ่นดินขวานทอง

หมู่ไทยทั้งผอง เรารักพระเจ้าอยู่หัว


ยังจำ ที่เรา ทุกข์ทนร่วมกัน

บางวัน ที่มี รอยยิ้ม สดใส

บางที่ ที่เรา ร้องไห้ เสียใจ

เก็บมันเอาไว้ อย่าลืม


(๑) (๒) (๓)...Solo ๒

กี่หมื่นรอยเท้า ที่เรา เดินก้าวไป

แม้แดดเผากาย ยังสบายอยู่ดี

กี่พายุฝน ถั่งโถม ในทุกทุกที่

ทุกวินาที ใน ๑๙๓ วัน

ยัง จำ ได้ ดี และ คิด ถึง อยู่ ทุก วัน

ยัง จำ ขึ้น ใจ ทั้ง ๑๙๓ วัน

ทุก ลม หาย ใจ...เก็บ ไว้ ใน ความ ทรง จำ


ขอบคุณ AStvผู้จัดการ







25 พฤษภาคม 2552

เพลงเก็บไว้ในความทรงจำ



เพลงเก็บไว้ในความทรงจำ

คำร้อง-ทำนอง : ศรัณยู วงษ์กระจ่าง
เรียบเรียงดนตรี : สมิทธ์ บัณฑิตย์
นักดนตรี : วง ก.ไก่ + วงฆารวาส



วันวาน ไม่เคยหวนคืน ย้อนมา

เวลา เมื่อผ่านไปแล้ว ก็แล้ว

ดวงดาว ที่เคยพร่างพราว วับแวว

ผ่านคืน ผ่านแล้ว ก็ผ่านเลย

แต่ใจเรา ยังคง เหมือนเคย เหมือนเดิม

คอยเติม พลัง ให้กัน มั่นไว้

คอยเตือน จดจำ ย้ำจำ ฝังใจ

จนตาย จะไม่ลืมเลือน


(๑) ที่เคยหยัดยืน ฝืนทน สู้ฝ่าฟัน

นับร้อยร้อยวัน เรารวมกัน อย่างไร

ยังจำได้ไหม เราตะโกน ส่งเสียงว่าไง...(ไล่ใคร)

ทุกลมหายใจ เก็บไว้ในความทรงจำ


วันใด หากใจ หวนคิดถึงกัน

ในวัน เนิ่นนาน อีกนานแค่ไหน

ตัวเรา จะไกล แสนไกล เท่าไร

หัวใจ คงอยู่ ใกล้กัน


(๒) ให้จำบทเพลง ที่เราเคยร้องกัน

ทุกครั้ง ทุกวัน เราเต้นกัน ใช่ไหม

ที่กิน ที่นอน ที่อาบน้ำ และ ที่ใดๆ

ทุกลมหายใจ เก็บไว้ในความทรงจำ

ยังจำ ที่เรา ทุกข์ทนร่วมกัน

บางวัน ที่มี รอยยิ้ม สดใส

บางที ที่เรา ร้องไห้ เสียใจ

เก็บมันเอาไว้ อย่าลืม


(๓) กี่หมื่นรอยเท้า ที่เรา เดินก้าวไป

แม้แดดเผากาย ยังสบายอยู่ดี

กี่พายุฝน ถั่งโถม ในทุกทุกที่

ยังจำได้ดี และคิดถึงอยู่ทุกวัน


**พี่น้องเอ๊ย พี่น้องเอ๊ย

พี่น้องเอ๊ย ยังคุ้นเคยเสียงนี้ไหม

**เราไม่ถอย เราไม่ท้อ

เราเฝ้ารอ รวมพลังกันต่อไป

**พ่อครับ แม่ครับ

พี่พี่ครับ น้องน้องครับ

**ไม่เหน็บหนาว ไม่เหน็บหนาว

พี่น้องเรา ไม่ต้องกลัวสู้ต่อไป


Solo ๑

จดจำขึ้นใจ เราทำเพื่อใคร

เผ่าพันธ์เชื้อไทย ไม่ให้ใครครอบครอง

เรารักชาติไทย แผ่นดินขวานทอง

หมู่ไทยทั้งผอง เรารักพระเจ้าอยู่หัว


ยังจำ ที่เรา ทุกข์ทนร่วมกัน

บางวัน ที่มี รอยยิ้ม สดใส

บางที่ ที่เรา ร้องไห้ เสียใจ

เก็บมันเอาไว้ อย่าลืม


(๑) (๒) (๓)...Solo ๒

กี่หมื่นรอยเท้า ที่เรา เดินก้าวไป

แม้แดดเผากาย ยังสบายอยู่ดี

กี่พายุฝน ถั่งโถม ในทุกทุกที่

ทุกวินาที ใน ๑๙๓ วัน

ยัง จำ ได้ ดี และ คิด ถึง อยู่ ทุก วัน

ยัง จำ ขึ้น ใจ ทั้ง ๑๙๓ วัน

ทุก ลม หาย ใจ...เก็บ ไว้ ใน ความ ทรง จำ


ขอบคุณ AStvผู้จัดการ



17 พฤษภาคม 2552

สาเหตุที่เสื้อแดงล้มล้างองคมนตรี ..ปูทางสู่การล้มล้างสถาบัน

สาเหตุที่เสื้อแดงล้มล้างองคมนตรี ..ปูทางสู่การล้มล้างสถาบัน
อ้างอิงจาก forum.serithai.net/viewtopic.php?f=2&t=7647...

เกือบสองปีกว่าๆที่ผมเริ่มฟอร์เวิร์ดเมล์ ว่าทำไม ถึงมีความพยายามที่จะต้องการโจมตีพลเอกเปรม
ตั้งแต่นายสมัคร ยังเป็นพิธีกรรายการคู่กับดุสิตศิริวรรณ จนฟอร์เวิร์ดเมล์ฉบับนั้นแพร่หลายไปเป็นจำนวนกว้างมาก
ปรากฏอยู่ในหลายเวปบอร์ดและที่เสรีไทยนี้ก็มีปรากฏอยู่ ซึ่งวันหลังผมจะรวบรวมไว้ในกระทู้นี้ที่เดียว

วันนี้บังเอิญแวะเข้าเวป ของหนังสืออาวุธปืนเห็นความเห็นหนึ่งที่น่าสนใจจึงนำมาแปะไว้ให้อ่านตามแหล่งอ้างอิงนี้ครับ
http://www.gunsandgames.com/smf/index.p ... =70208.195
อ้างจาก: flyingkob ที่ เมษายน 10, 2009, 12:07:32 PM



ทำไมต้องมีองคมนตรี

ยังจำพฤษภาทมิฬ รสช ได้ไหม
ตอนนั้น ถ้ารัฐบาลเผด็จการ รสช นำโดยบิ๊กสุไม่ยอมเจรจา ไม่เข้าพบในหลวงจะเป็นยังไง
ก็คงฆ่ากันตายเป็นเบือใช่ไหม แล้วใครผู้ใดจะมาทำให้ประเทศสงบสุขได้ ในเมื่อพี่น้องประชาชนไม่มีอาวุธ
พระเจ้าอยู่หัวจึงจำเป็นต้องมีปรึกษาด้านความมั่นคง คนที่คอยสนับสนุนในหลวงในยามประเทศคับขัน
และต้องมีทหารที่จงรักภักดีส่วนหนึ่งที่สามารถสั่งการได้
ท่านพลเอกเปรม คือ ทหารเอกคนนั้น ดังนั้น ไม่แปลกเลยที่ต้องมีลูกป๋าประจำอยู่ในกองทหารทั้งสามเหล่าทัพ
หากเกิดเหตุการณ์แบบพฤษภาทมิฬ หรือเผด็จการที่นักการเมืองฮั้วกับทหาร หรือทหารล้วนๆ
และกลุ่มนี้ไม่ยอมฟังในหลวง ไม่ฟังพี่น้องประชาชน
เกิดการปะทะระหว่าง ทหารของรัฐกับ ประชาชนโดยตรง
ยังไง ก็ยังมีทหารกลุ่มหนึ่ง หรือทหารลูกป๋า คอยให้การอารักขา ช่วยคานกลุ่มไม่ดี
และสนับสนุนพระองค์สู้กับกลุ่มเผด็จการนั้นได้ ทำให้เผด็จการต้องยอมรับฟังในหลวง
ลงจากอำนาจแล้วคืน ปชต ให้พี่น้องประชาชนอีกครั้งได้
นี่คือเหตุผลที่ทำไม ต้องมีอำมาตย์ คอยคุ้มกันและสนับสนุนในหลวงของเราในภารกิจต่างๆ
และอำมาตย์เหล่านี้ ก็ได้รับการแต่งตั้งและสามารถปลดโดยพระองค์เอง
นี่คือ พระราชอำนาจทีพระองค์มีอยู่

วันนี้ ทักษิณพูดชัดเจนออกมาแล้วว่า ไม่ต้องการให้มีอำมาตย์ใดๆอยู่ข้างพระเจ้าอยู่หัวอีกต่อไป
ไม่ใช่แค่อำมาตย์เปรมคนเดียวนะครับ
แปลความหมายก็คือ เขาจะดูแลในหลวงเอง หรือ ถ้าไม่ใช่เขา ก็เป็นนักเลือกตั้งคนอื่นที่เขาบอกเสียงข้างมากจากประชาชน
แล้วถ้าวันหนึ่ง คนๆนี้ฮั้วหรือให้ผลประโยชน์ กับผู้นำกองทัพ ซึ่งเขาแต่งตั้งเอง
หรือพูดง่ายๆว่าเป็นลูกน้องเขา ก็คือคุมอำนาจทุกอย่างทั้งประเทศไทยได้เลย
เพราะในหลวงก็ไม่มีพระราชอำนาจใดๆแล้ว นอกจากลงพระปรมาภิไธยอย่างเดียว
แล้วคนๆนั้นเขาจะยังจงรักภักดีต่อในหลวงอีกหรือ พระองค์ไม่มีพระราชอำนาจใดๆเลย
หรือ วันหนึ่ง ถ้าทหารที่คุมกำลังอยู่ อยากเป็นใหญ่ซะเอง ก็ย่อมปฎิวัติเอาคนๆนี้ลงอยู่ดี โดยไม่ต้องฟังอำมาตย์ที่ไหน เพราะอำมาตย์ไม่มีแล้ว
แล้วคุณคิดหรือว่า ประเทศไทยยังจะเป็นประชาธิปไตยแบบที่คุณต้องการอีก
ดูรัฐบาลทหารพม่าข้างบ้านเป็นตัวอย่างก็ได้ เหมือนๆแบบนี้แหละ

... พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวอีกว่า ต่อไปนี้เราจะเข้าสู่ยุคของประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
ไม่มีอำมาตย์มายุ่ง มีแต่ประชาชนกับพระมหากษัตริย์เท่านั้น ....

คำพูดข้างบนที่หลุดออกมา มันชัดแล้วครับ และก็อย่าแปลกใจว่า ทำไมเป้าโจมตีเป็นป๋าเปรม สุรยุทธ พิจิตร
องคมนตรีด้านความมั่นคงทั้งหมด เพราะสุรยุทธก็เป็นคนหนึ่งที่ทหารทุกเหล่าทัพให้ความเชื่อถือ
อาจจะเป็นตัวแทนท่านเปรมในการถวายการอารักขาเป็นทหารเอกปกป้องสถาบันได้ในอนาคต
ตอนนี้ ทักษิณประกาศชัด ไม่เอาอำมาตย์ หรือองคมนตรีทั้งระบบ นั่นก็คือ ไม่ยอมให้พระราชอำนาจแก่ในหลวงอีกแล้ว
แล้วเขาก็ขายฝันว่า ถ้าไม่มีระบบนี้ ประเทศจะเจริญสุดๆ คุณเชื่อเขาหรือ คนที่เกาะแข้งเกาะขา รสช จนรวยคนนี้
มันชัดเจนแล้วว่า ทักษิณต้องการล้มล้างระบอบการปกครองอันมีพระมหากษัตร์ย์ทรงเป็นประมุข

คำว่าอำมาตย์ทีอ้างตามหลักวิชาการว่า เป็นพวกศักดินา กลุ่มข้าราชการอะไรนั่น
จริงๆแล้ว เป้าหมายก็คือ อำมาตย์องคมนตรีนั่นเอง เขาไม่ต้องการให้มีเกราะป้องกันในหลวงอีก
ถอดหมด แม้กระทั่งให้ยกเลิกกฎหมายหมิ่นพระบรมราชานุภาพ
เพื่อสะดวกในการใข้วิชามารล้างสมองให้สภาบันเสื่อมเป็นลำดับต่อไป

คุณแน่ใจหรือว่า คนๆนี้เขาเป็นวีระบุรุษ ผู้ปลดแอก
ผมแน่ใจว่า เขายิ่งกว่า มากอส รวมกับซูฮาร์โต้และอภิมหาเผด็จการรวมกันอีก
ดูจากน้ำลายที่เขาพ่น และยึดติดในอำนาจก็น่าจะรู้ ขายฝัน ชมตัวเองทุกวัน ศาลก็ไม่ดี
ใครก็ไม่ดี นอกจากเขาบอกว่า ดีก็ต้องดี

ผมไม่มีสี ไม่ได้กล่อมให้ใครเชื่อ ไม่จำเป็นต้องเขื่อผม แต่ขอให้คุณหยุดพิจารณาสักนิด ถ้าคุณยังมีสมองของตัวเองอยู่
อย่ามองแค่ผลประโยชน์ระยะสั้น มองยาวๆ มองอดีต ดูว่า ตลอดหกสิบกว่าปีมานี้ ประเทศไทยรวมใจมั่นคงเป็นหนึ่ง มีสุขสงบได้เพราะใคร

ผมบอกได้เลย ประเทศไทยยังไงก็ต้องมีอำมาตย์ครับ ผมต้องการอำมาตย์ ที่ในหลวงทรงพิจารณาเลือกสรรด้วยพระองค์เอง
ที่คอยเป็นที่ปรึกษา ค้ำราชบัลลังค์ของพระมหากษัตร์ย์ที่ดีที่สุดในโลกพระองค์นี้ ผมเชื่อในพระวิจารณญาณของพระองค์ครับ
และผมไม่เชื่อคำพูดของแค่ เศรษฐีสัมปทานคนหนึ่งมาเล่นการเมืองที่เอาตัวเองเป็นกฎหมาย เป็นความถูกต้องทุกอย่าง
ที่ได้แต่บอกว่า ไม่ต้องมีอำมาตย์ต่อไป เขาจะดูแลในหลวงแทนอำมาตย์เองอย่างดี ผมไม่เชื่อครับ

รวมภาพเหตุการณ์ 7 ตุลา 51


อาลัยยิ่ง 7 ตุลา 51

ขอแสดงความเสียใจเป็นอย่างยิ่ง กับครอบครัวผู้เสียชีวิต พิการ และบาดเจ็บจากการชุมนุม เราขอเชิดชู ยกย่อง และสดุดีผู้ที่เสียสละชีวิต พิการ และบาดเจ็บเพื่อปกป้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่ง ชาติ ราชบัลลังก์ และรัฐธรรมนูญ ทั้งในสถานที่ชุมนุมและนอกสถานที่ชุมนุม ให้เป็น “วีรชน” ที่จะถูกจารึกอยู่ในประวัติศาสตร์และในจิตใจของพวกเราตลอดไป โดยมีรายนามวีรชนผู้เสียชีวิตดังต่อไปนี้

1. นางสาวอังคณา ระดับปัญญาวุฒิ ผู้ชุมนุมอย่างสงบและปราศจากอาวุธ เสียชีวิตอันเนื่องมาจากเหตุการณ์เจ้าหน้าที่รัฐใช้อาวุธทำร้ายเข่นฆ่า ประชาชนจากบริเวณหน้ากองบัญชาการตำรวจนครบาล ในคืนวันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2551

2. พันตำรวจโท เมธี ชาติมนตรี การ์ดอาสาของพันธมิตรเสียชีวิตจากการถูกฆาตกรรมและถูกทำลายหลักฐานด้วยการ ระเบิดรถ ในสถานการณ์ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเข่นฆ่าทำร้ายประชาชนในการสลายการชุมนุมที่ หน้ารัฐสภา เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2551

3. นายสมเลิศ เกษมสุข ผู้ชุมนุมและผู้ประสานงานแท็กซี่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้เข้าร่วมชุมนุมมาอย่างยาวนาน และได้เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจในที่ชุมนุมบริเวณ ถนนพิษณุโลก ข้างทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2551

4. นายเจนกิจ กลัดสาคร ผู้นั่งฟังการปราศรัยบนเวทีอย่างสงบและปราศจากอาวุธ เสียชีวิตเนื่องจากถูกอาวุธสงครามประเภทระเบิด M-79 ยิงมาจากภายนอกสถานที่ชุมนุมเข้ามาทะลุเต้นท์ผ้าใบในทำเนียบรัฐบาล เมื่อคืนวันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

5. นายยุทธพงษ์ เสมอภาพ การ์ดอาสาที่กำลังทำหน้าที่แจกน้ำและอาหารให้กับสารวัตรทหารบริเวณสี่แยก มิสกวัน เสียชีวิตเนื่องจากคนร้ายฝ่ายรัฐบาลนั่งมอเตอร์ไซค์ยิงอาวุธสงครามประเภท ระเบิด M-79 จากริมรั้วกองบัญชาการตำรวจนครบาลเข้ามาในพื้นที่ชุมนุม เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

6. นายเศรษฐา เจียมกิจวัฒนา บิดาของแกนนำกลุ่มทหารเสือพระราชา ซึ่งเป็นกลุ่มแนวร่วมที่จัดรายการวิทยุชุมชน ซึ่งถ่ายทอดสดภาพและเสียงของการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จังหวัดเชียงใหม่ ถูกกลุ่มอันธพาลของรัฐบาล 50 คนใช้ปืน มีด และใช้ท่อนเหล็กรุมทำร้ายร่างกายจนเสียชีวิตเมื่อคืนวันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

7. นางสาวกมลวรรณ หมื่นหนู ผู้นั่งฟังการปราศรัยบนเวทีอย่างสงบและปราศจากอาวุธอยู่ที่ทำเนียบรัฐบาล เสียชีวิตเนื่องจากคนร้ายฝ่ายรัฐบาลได้ยิงอาวุธสงครามประเภทระเบิด M-79 ยิงมาจากภายนอกสถานที่ชุมนุมเข้ามาทะลุเต้นท์ผ้าใบ เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

8. นายรณชัย ไชยศรี ผู้ชุมนุมอย่างสงบและปราศจากอาวุธที่สนามบินดอนเมือง เสียชีวิตเนื่องจากมีคนร้ายฝ่ายรัฐบาลได้ยิงอาวุธสงครามประเภทระเบิด M-79 ยิงมาจากบริเวณทางด่วนเข้ามาในสถานที่ชุมนุมในขณะที่ผู้ชุมนุมส่วนใหญ่กำลัง นอนหลับอยู่ในเวลากลางคืนของวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ.2551

9. น.ส.ศศิธร เชยโสภณ หรือ ติ๊ก การ์ดอาสาฯ ประสบอุบัติเหตุตกจากรถยนต์ปิกอัพ ขณะทำขนของออกจากทำเนียบรัฐบาล ศีรษะฟาดพื้น ต้องเข้ารักษาตัวในห้องไอซียู โรงพยาบาลมิชชั่น จนเมื่อวันที่ 6 ธ.ค.น้องติ๊กได้เสียชีวิตลงอย่างสงบ ท่ามกลางความโศกเศร้าเสียใจของญาติมิตรและเพื่อนการ์ดอาสาพันธมิตรฯ
สำหรับ น.ส.ศศิธร เชยโสภณ หรือ ติ๊ก อายุ 32 ปี มีอาชีพเป็นพนักงานต้อนรับที่โรงแรมแห่งหนึ่งย่านอุรุพงษ์ ร่วมทำหน้าที่การ์ดอาสา สังกัด สน.พันธมิตร ตั้งแต่เดือนมิถุนายน ที่ผ่านมา โดยเป็นเจ้าหน้าที่ประจำศูนย์สั่งการเคลื่อนที่ ในปฏิบัติการดาวกระจายหลายครั้ง ดูแลข้อมูลการออกบัตรผ่านพื้นที่ควบคุมชั้นในของทีมงานและแกนนำ รวมทั้งช่วยดูแลจัดการด้านที่พักให้กับแกนนำ และผู้ปราศรัยบนเวทีพันธมิตรหลายคน







กมธ.วุฒิ 3 คณะสรุปเหตุการณ์7 ตุลา

กมธ.วุฒิ 3 คณะสรุปเหตุการณ์7 ตุลา ตำรวจทำเกินกว่าเหตุ ผิดหลักสากล แล้วใครรับผิดชอบ

คณะกรรมาธิการของวุฒิสภาฯ 3 คณะที่ตั้งอนุกรรมาธิการขึ้นมาสอบสวนเหตุการณ์เมื่อวันที่ 7 ตุลา 2551 ที่ตำรวจยกกำลังเข้าสลายการชุมนุมของพันธมิตร ที่เคลื่อนตัวไปชุมนุมปิดล้อมรัฐสภา เพื่อไม่ให้รัฐบาลแถลงนโยบาย ด้วยการยิงแก๊สน้ำตาเข้าใส่ผู้ชุมนุม จนเป็นเหตุให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ ล้มตายเป็นจำนวนมาก ได้สรุปผลการสอบสวนออกมาแล้ว


3 กมธ.วุฒิ สรุปผลสอบเหตุสลายม็อบเมื่อวันที่ 7 ตุลาคมตำรวจทำเกินกว่าเหตุ ผิดหลักสากล และ"น้องโบว์" เสียชีวิตจากการโดนแก๊ซน้ำตา
คณะอนุกรรมาธิการ (กมธ.) ตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้แก๊สน้ำตาสลายกลุ่มผู้ชุมนุม เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ในคณะกรรมาธิการศึกษาตรวจสอบเรื่องการทุจริตและเสริมสร้างธรรมาภิบาล คณะอนุกรรมาธิการพิสูจน์สาเหตุการเสียชีวิตของ น.ส.อังคณา ระดับปัญญาวุฒิ ในเหตุการณ์หน้าลานพระบรมรูปฯวันที่ 7 ต.ค.
ในคณะกรรมาธิการการสาธารณสุขและคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาและติดตามสถานการณ์ความรุนแรงและปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง ในคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา ร่วมกันจัดเสวนาเรื่อง..
"รายงานผลการตรวจสอบเหตุการณ์ความรุนแรงวันที่ 7ตุลาคม"
พล.ต.ต.เกริก กัลยาณมิตร รองประธานกมธ.ศึกษาตรวจสอบเรื่องการทุจริต ฯ กล่าวว่า คณะอนุกมธ.ตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ ตรวจสอบหลักฐานต่าง ๆ ที่ปรากฏ พบข้อสังเกต 11 ข้อ คือ
1. รัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกฯ ยังมีเวลาแถลงนโยบายได้ถึงวันที่ 9 ต.ค.แต่กลับรีบแถลงวันที่ 7 ต.ค. ทั้งที่ทราบว่ามีมวลชนมาปิดล้อมรัฐสภาตั้งแต่คืนวันที่ 6 ต.ค.ซึ่งควรมีเวลาในการเจรจากับผู้ชุมนุม
2. รัฐบาลสามารถเลือกสถานที่อื่นแทนที่ทำการรัฐสภาได้ซึ่งทางรองประธานสภา คนที่ 2 ก็หาที่สำรองไว้ 3 แห่ง แต่รัฐบาลกลับเดินหน้าใช้รัฐสภาแถลงนโยบายทั้งที่รู้ว่าจะเกิดความรุนแรง
3. รัฐบาลเข้ามาแถลงนโยบายในรัฐสภาโดยใช้การสลายฝูงชนรุนแรงจนมีผู้บาดเจ็บจำนวนมากและบาดเจ็บสาหัส
4. หลังแถลงนโยบาย รัฐบาลมิได้สั่งการให้ตำรวจหยุดสลายการชุมนุม แต่ยังมีการสลายการชุมนุมต่อจนถึง 24.00 น.
5.การสลายการชุมนุมไม่ทำตามหลักสากลและแผนกรกฏ 48 ไม่มีการเจรจาและทำตามขั้นตอนจากเบาไปหาหนัก
6. ตำรวจยิงแก๊สน้ำตาเลย โดยไม่เริ่มจากการใช้โล่และกระบองผลักดันหรือใช้น้ำฉีด
7. ตำรวจเจาะจงเลือกใช้แก๊สน้ำตาของจีน ที่มีสารระเบิดมากถึงขั้นทำลายอวัยวะคนได้ ซึ่งการสลายการชุมนุมในช่วงเช้า มีคนขาขาดแขนขาด แต่ตำรวจยังใช้วิธีการแบบเดิมสลายการชุมนุมตลอดทั้งวัน
8. ตำรวจยิงกระสุนแก๊สน้ำตาหรือขว้างระเบิดแก๊สน้ำตาใส่ผู้ชุมนุมโดยตรง
9. หลังจากส.ส.ส.ว.ออกจากรัฐสภาแล้วตำรวจยังสลายการชุมนุมแบบเดิมขณะผู้ชุมนุมเดินทางกลับ ถือว่าไม่สมเหตุสมผลและไม่ชอบธรรม
10. การสลายการชุมนุมมีตำรวจบาดเจ็บและทรัพย์สินราชการเสียหาย แต่นายกฯไม่คำนึงถึง
11.นายกฯ และรัฐบาล เจ้าหน้าที่ตำรวจทุกระดับ ไม่แสดงความรับผิดชอบและไม่ตระหนักผลกระทบจากการสลายการชุมนุมที่ทำให้ทัศนคติระหว่างตำรวจและประชาชนไปในทางลบ
ทั้งหมดขอให้เป็นบทเรียนครั้งสุดท้ายของการแก้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองที่ทำให้เกิดความสูญเสีย
พล.ต.ต.เกริก กล่าวต่อว่า การสลายการชุมนุม เจ้าหน้าที่ตำรวจคงไม่มีความรู้ในการใช้อาวุธ และไม่ทราบว่า ตชด. นำเบิกแก๊สน้ำตามาจากไหน ดังนั้นเหตุการณ์วันที่ 7 ต.ค. รัฐบาลจะต้องตั้งผู้บัญชาการเหตุการณ์ขึ้นมารับผิดชอบ จากกรณีที่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ลาออกจากรองนายกรัฐมนตรี ก็ยังไม่มีผู้มารับผิดชอบต่อ และเหตุการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้น เนื่องจากตำรวจมาจากหลายหน่วยงาน หลายโรงพัก ทำให้มีความสับสนในการสั่งการ ดังนั้น ผบ.ส่วนหน้าจะต้องมาเล่นในสนามจริงๆ ไม่ใช่อยู่ที่ บชน. แล้วฟังวอ เพื่อสั่งการเท่านั้น
พล.อ.ต.นพ.วิชาญ เบี้ยวนิ่ม อนุกมธ.พิสูจน์สาเหตุการเสียชีวิตฯ และหัวหน้าหน่วยนิติเวช รพ.รามาธิบดี ผู้ชันสูตรศพน.ส.อังคณา กล่าวว่า น.ส.อังคณา เสียชีวิตก่อนมาถึงโรงพยาบาล ทั้งนี้เมื่อศพมาถึงพบว่า ปนเปื้อนแก๊สน้ำตา จึงต้องล้างหลายครั้งก่อนชันสูตร เมื่อชันสูตรพบว่า เสื้อผ้าฉีก มีรอยไหม้ดำ บาดแผลใหญ่บริเวณอกด้านซ้ายต่อเนื่องมาถึงแขน ขนาด 40x14 ซม. ลึกถึงซี่โครง ซี่โครงหักตลอดแนว ปอดช้ำเลือดออกกระจาย ม้ามแตก เยื่อหุ้มหัวใจและผนังทะลุ
เมื่อส่องกล้องจุลทรรศน์พบชัดเจนว่า เป็นเพราะแรงอัดและความร้อน สารเคมีที่ปนเสื้อผ้าก็เป็นสารประกอบของระเบิดแก๊สน้ำตาไม่ใช่ระเบิดปิงปองหรือระเบิดสังหาร และเป็นการระเบิดใกล้ตัว ไม่ได้ชิดตัว จึงไม่ใช่การพกระเบิดแล้วระเบิดเอง
นายไพบูลย์ นิติตะวัน อนุกมธ.ติดตามสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองฯ กล่าวว่า สตง. ตรวจพบว่า กองพลาธิการและสรรพาวุธ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซื้อระเบิดแก๊สน้ำตาจากจีน โดยเป็นแบบขว้าง 17,000 ลูก เมื่อปี 36-38 แบบยิงจำนวน 40,800 ลูก เมื่อปี 36 และยังพบว่า รองผบ.ตร.คนหนึ่ง ขอระเบิดแก๊สน้ำตาจาก 4 หน่วย ซึ่งเป็นอาวุธเก่า ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 51
โดยระบุชัดว่า “ ขอชนิดขว้างผลิตในประเทศจีน ” เพื่อควบคุมการชุมนุม ไม่ใช่ขอการกองพลาธิการ นอกจากนี้ พล.ต.ท.อัมพร จารุจินดา อดีตผู้เชี่ยวชาญสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ มาให้ข้อมูลว่า ระเบิดแก๊สน้ำตาดังกล่าว มีซีโฟร์ 7 กรัม จุดชนวนแล้วพุ่ง 200-300 ฟุต ต่อวินาที สามารถเป็นอันตรายต่อร่างกาย และในลูกระเบิด ส่วนผสมที่เป็นแก๊สน้ำตาจะเสื่อมใน 5-8 ปี ส่วนส่วนผสมที่เป็นซีโฟร์ ไม่หมดอายุ

ทั้งนี้ระเบิดแก๊สน้ำตาดังกล่าว ตำรวจเรียกคืนมาเก็บหมด เพราะใช้ตั้งแต่ พฤษภา 35 และหมดอายุแล้ว นอกจากนี้ ฝ่ายตำรวจยังเคยระงับการซื้อระเบิดแก๊สน้ำตาจากจีนเพราะพบว่า ร้ายแรง ไม่รู้ว่าทำไมจึงนำกลับมาใช้อีก ส่วนฝ่ายตำรวจใช้ระเบิดแก๊สน้ำตาไปจำนวนเท่าใด อนุฯกำลังตามตรวจสอบอยู่
นายสมชาย แสวงการ ประธานอนุกมธ.ติดตามสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองฯ กล่าวว่า อนุกมธ.ตรวจสอบหลักฐานพบเหตุผิดปกติ 7 ข้อ คือ
1. การสลายการชุมนุมที่ทำให้เกิดการบาดเจ็บสาหัสหรือเสียชีวิตเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน และเสรีภาพของประชาชนตามปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง
2. รัฐบาลสามารถหลีกเลี่ยงความรุนแรงดังกล่าวได้แต่ไม่ทำ
3. การกระทำของตำรวจเกิดจากมติครม.เมื่อคืนวันที่ 6 ต.ค.ฉะนั้นรัฐบาลและสำนักงานตำรวจแห่งชาติต้องรับผิดชอบ
4. ตำรวจปฏิบัติข้ามขั้นตอนที่ 2 ของแผนกรกฏ 48 ไม่มีการเจรจาและช้ำกำลังจากเบาไปหาหนัก และละเลยข้อ ฝ.ในแผนกรกฏ 48 ที่ให้พึงระลึกว่า การชุมนุมในขอบเขตของกฎหมายเป็นสิทธิที่ทำได้ตามรัฐธรรมนูญ เจ้าหน้าที่ต้องปฏิบัติละมุนละม่อม แต่ปรากฏว่า ตำรวจทำการรุนแรงมากตลอดทั้งวัน
5. ตำรวจขาดดุลพินิจและความไม่เหมาะสมของการใช้อาวุธในการสลายการชุมนุม เพราะการสลายการชุมนุมช่วงเช้าพบผู้บาดเจ็บสาหัสหลายราย ขาขาด แต่ยังคงใช้อาวุธรุนแรงดังกล่าวตลอดทั้งวัน
6. พบว่า มีการยิงกระสุนแก๊สน้ำตาเข้าใส่รถพยาบาลและมีเจ้าหน้าที่พยาบาลถูกยิงด้วยกระสุนยางจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ ถือว่า ขัดหลักสากลในการช่วยเหลือผู้บาดเจ็บในที่เกิดเหตุ และขัดขั้นตอน 4 ของแผนกรกฏ 48
7. งบเยียวยาของรัฐบาล หลักเกณฑ์การพิจารณายังไม่เหมาะสม ไม่เป็นธรรม อาจกระตุ้นให้เกิดการใช้ความรุนแรงมากขึ้นในอนาคต
น.ส.รสนา โตสิตระกูล ส.ว.กทม ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการศึกษาตรวจสอบเรื่องการทุจริต และเสริมสร้างธรรมาภิบาล กล่าวว่า รัฐบาลน่าจะยับยั้งตั้งแต่มีการสลายการชุมนุมในครั้งแรก เนื่องจากรู้ดีว่าแก๊สน้ำตาส่งผลให้เกิดความเสียหายอย่างรุนแรง แต่ในทางกลับกันกลับใช้การสลายการชุมนุมที่รุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนี้ตนอยากตั้งข้อสังเกตว่า เหตุใดเจ้าหน้าที่รัฐถึงมีการเก็บกวาดหลักฐานเร็วมาก ซึ่งตามหลักสากลควรมีการพิสูจน์หลักฐานก่อน

นี่เป็นผลสอบของคณะกรรมาธิการของวุฒิสภา แต่กรรมการสอบสวนในส่วนของรัฐบาลยังไม่เห็นความก้าวหน้าว่าไปถึงไหน เพราะไม่มีใครออกมาแถลงให้ได้รับทราบ หรือกำลังยื้อเวลาอยู่หรือไม่
แต่สำหรับท่าทีของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ดูเหมือนจะยังเฉยเมยต่อผลสรุปที่ออกมา โดยกล่าวแต่เพียงว่า ยังไม่เห็นผลการสอบสวน เพิ่งทราบจากสื่อมวลชนเหมือนกัน
เมื่อถามว่า รัฐบาลจะรับฟังเฉพาะผลการสอบสวนของคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงที่รัฐบาลตั้งขึ้นใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวเลี่ยงว่า คณะกรรมการชุดอื่นตนก็ไม่ทราบว่ามีใครสอบสวนบ้างก็ต้องดูว่าใครมีสิทธิ์ทำอะไรและผลเป็นอย่างไร แต่สุดท้ายก็ต้องดูข้อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์หรือผลที่แท้จริงที่จะสรุปออกมา
นี่เป็นผลสอบที่รัฐบาลต้องรับฟัง ไม่ใช่รอแต่ผลสอบของคณะกรรมการที่รัฐบาลตั้งขึ้นมา ซึ่งกรรมการบางคนก็ลาออกไปแล้ว ไม่รู้เกิดจากสาเหตุอะไร...
ข้อมูลจาก http://thecityjournal.blogspot.com