1 กรกฎาคม 2552

เปิดหลักฐาน สนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ระบุชัด “เกาะกูด” คือสมบัติชาติไทย!

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 30 มิถุนายน 2552

นักวิชาการ กม.ทางทะเล ชี้ชัด “เกาะกูด” และทรัพยากรในอ่าวไทย คือสมบัติของชาติไทยที่ได้ระบุไว้อย่างชัดเจนในสนธิสัญญากรุงสยาม-กรุง ฝรั่งเศส ตั้งแต่ปี ค.ศ.1907 กัมพูชาจึงไม่มีสิทธิในพื้นที่เกาะกูด รวมถึงเส้นแบ่งเขตแดนทางทะเลที่เขียนขึ้นมาเองก็ไม่สามารถนำมากล่าวอ้างได้

จากกรณีที่มีกระแสข่าวว่า ประเทศกัมพูชาได้จัดทำแผนที่และลากเส้นเขตหลักแดนทางทะเลของประเทศกัมพูชา แล้วเตรียมประกาศเป็นหลักเขตแดนร่วมกับไทย แต่แผนที่ดังกล่าวได้มีการลากเส้นเขตแดนผ่านเข้ามาในบริเวณเกาะกูด กล่าวคือได้มีการอ้างว่าพื้นที่บนเกาะกูดครึ่งหนึ่งเป็นของกัมพูชานั้น

วันนี้ (30 มิ.ย.) “ASTV ผู้จัดการออนไลน์” ได้รับข้อมูลและหลักฐานอันเป็นประโยชน์เกี่ยวกับกรณีดังกล่าวจากนักวิชาการ ด้านกฎหมายทางทะเล คณะลอจิสติกส์ มหาวิทยาลัยบูรพา ที่เปิดเผยข้อมูลว่า แท้จริงแล้วสิ่งที่ทางการกัมพูชากล่าวอ้างว่า “เกาะกูด” เป็นของกัมพูชานั้น ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด เพราะใน “สนธิสัญญาระหว่างกรุงสยาม และกรุงฝรั่งเศส ปี ค.ศ.1907” (ซึ่งปัจจุบันก็มีหลักฐานดังกล่าวปรากฏอยู่ทั้งที่ในกรมสนธิสัญญา กระทรวงการต่างประเทศของไทย และกระทรวงการต่างประเทศของฝรั่งเศส) ได้ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า

“รัฐบาล ฝรั่งเศส ยอมยกดินแดนเมืองด่านซ้าย และเมืองตราด กับทั้งเกาะทั้งหลายซึ่งอยู่ภายใต้แหลมสิงห์ลงไปจนถึงเกาะกูดนั้นให้แก่กรุง สยาม”

นอกจากนี้ เมื่อฝรั่งเศสได้ทำสัญญาระบุว่าดินแดนดังกล่าวเป็นของประเทศไทยแล้ว ข้อมูลดังกล่าวก็ได้ถูกนำมาประกาศในราชกิจจานุเบกษาของไทย เมื่อวันที่ ๗ กรกฎาคม ร.ศ.๑๒๕ (ค.ศ.๑๙๐๗) โดยระบุข้อความว่า “รัฐบาลฝรั่งเศส ยอมยกดินแดน เมืองด่านซ้าย และเมืองตราดกับทั้งเกาะทั้งหลาย ซึ่งอยู่ภายใต้แหลมสิงลงไป จนถึงเกาะกูดนั้น ให้แก่กรุงสยาม” เช่นเดียวกับในสนธิสัญญา ดังนั้นจึงมีหลักฐานปรากฏอย่างชัดเจนว่า “เกาะกูด” เป็นสมบัติของไทยอย่างแน่นอน

นักวิชาการผู้นี้กล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า ตั้งแต่อดีต เกาะกูดถือเป็นอาณาเขตพื้นที่ของไทยมาเป็นเวลานานแล้ว โดยบนเกาะพบว่ามีหลักศิลาจารึกโบราณแผ่นหนึ่ง ระบุไว้อย่างชัดเจนว่าพื้นที่บริเวณเกาะกูดแห่งนี้เป็นแผ่นดินสยาม อีกทั้งยังมีการสร้างกระโจมไฟเอาไว้อำนวยความสะดวกด้านการเดินเรือทางทะเล ของคนไทย ซึ่งในปัจจุบันทั้งพื้นที่ซึ่งแผ่นศิลาจารึกตั้งอยู่ และกระโจมไฟดังกล่าวก็อยู่ในเขตพื้นที่ของทหารเรือไทยดูแล จึงยิ่งเป็นสิ่งตอกย้ำได้อย่างชัดเจนว่าไทยได้ถือครองกรรมสิทธิ์ในแผ่นดิน เกาะกูดนานมากแล้ว และทางกัมพูชาเองก็ไม่เคยอ้างสิทธิ์ใดๆ ดังนั้น การที่กัมพูชาเขียนแผนที่เขตแดนใหม่ว่าเกาะกูดเป็นของกัมพูชาครึ่งหนึ่งนั้น จึงไม่ถูกต้อง ซึ่งไทยก็จะต้องมีการดำเนินการเจรจาและชี้แจงทำความเข้าใจในเรื่องดังกล่าว ต่อไป

ทั้งนี้ หากสังเกตจากในภาพแผนที่ที่ฝ่ายกัมพูชาเป็นคนขีดเส้นแบ่งขึ้นมาใหม่ (เส้นประยาว) จะเห็นได้ว่า แผนที่ซึ่งทางกัมพูชาวาดขึ้นนั้น มีการตัดแบ่งเกาะกูดออกเป็น 2 ส่วน เพื่อที่เมื่อลากเส้นเขตแดนทางทะเลแล้วจะปรากฏว่าพื้นที่กรรมสิทธิ์ทางทะเล ของกัมพูชา เลยเข้ามาในเขตอ่าวไทยมากยิ่งขึ้น (ซึ่งบริเวณนั้นเองที่เต็มไปด้วยทรัพยากรปิโตรเลียม และน้ำมัน) และหากกัมพูชาจะลากเส้นแบ่งเขตแดนทางทะเลตามที่ควรจะเป็นตามหลักสากล นั่นคือ 12 ไมล์ทะเลจากแผ่นดินของกัมพูชาแล้วก็ได้แนวเขตตามเส้นประสั้น ซึ่งจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าอาณาเขตทางทะเลของกัมพูชาไม่เหลื่อมล้ำเข้ามาใน พื้นที่อ่าวไทย

แต่อย่างไรก็ตาม นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยบูรพาผู้นี้ระบุว่า สาเหตุที่ตนนำหลักฐานและข้อมูลดังกล่าวมาเปิดเผยนั้นก็เพื่อต้องการให้ ประชาชนทั่วไปได้รับรู้ข้อเท็จจริงถึงกรณีดังกล่าว และคลายความกังวลว่าพื้นที่ทะเลในอ่าวไทยจะต้องตกไปเป็นของประเทศกัมพูชา เพราะเท่าที่ตนได้ทำการศึกษาค้นคว้ามานาน ซึ่งก็ได้พบหลักฐานมากมายตามที่กล่าวมา ประกอบอีกหนึ่งหน้าที่ของตนนั้นก็ได้ช่วยงานด้านพื้นที่ทางทะเลของกระทรวง การต่างประเทศมานาน ก็ทำให้ทราบว่าเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องของข้อพิพาทที่กระทรวงการต่างประเทศ ของไทยและกัมพูชาจะต้องนำหลักฐานมาอ้างอิงและอธิบายกับนานาประเทศต่อไป ไม่ได้หมายความว่าเมื่อกัมพูชาทำแผนที่มาแล้วไทยจะต้องยอมรับเสมอไป

“คือที่นำเรื่องนี้มาพูดก็คือ ต้องการอยากจะบอกกับประชาชนทั่วไปว่า ไม่ต้องกังวล เพราะทางกระทรวงการต่างประเทศของไทย ในฝ่ายเทคนิค ฝ่ายกฎหมาย หรือกรมต่างๆ ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมานาน และก็ได้รับการยอมรับจากต่างประเทศมาโดยตลอด ดังนั้น ไม่ต้องกังวล ยืนยันได้ว่าเกาะกูดยังเป็นของไทย และจะไม่เสียไปให้ใครโดยเด็ดขาด ซึ่งเรื่องข้อพิพาทในเขตแดนทางทะเลของเรากับกัมพูชาก็ต้องมีการตกลงเจรจา แบบทวิภาคีกันต่อไป”

พร้อมกล่าวด้วยว่า “ส่วนที่มีการกังวลกันว่าจะมีเรื่องการเมืองเกี่ยวข้องหรือไม่ อันนี้ผมว่าไม่นะ เพราะการเจรจาเรื่องแบบนี้มันถือเป็นเรื่องใหญ่ซึ่งฝ่ายเทคนิคของกระทรวง ต่างประเทศ เป็นผู้เจรจาดำเนินงาน รัฐบาลหรือรัฐมนตรีต่างประเทศ เป็นเพียงผู้อำนวยความสะดวกในการเจรจาเสียมากกว่า แล้วอีกอย่างหากมีการเปลี่ยนแปลงเรื่องเขตแดนจริงก็ต้องได้รับการยอมรับจาก ทุกฝ่าย และนานาประเทศ ตลอดจนต้องมีการลงในราชกิจจานุเบกษาที่ประมุขของทั้งสองประเทศจะต้องลงนาม จึงอยากให้ประชาชนได้มั่นใจว่าเรื่องนี้ว่าจะมีการดำเนินการอย่างโปร่งใส และถูกต้องที่สุด”

27 พฤษภาคม 2552

เพลงเก็บไว้ในความทรงจำ



เพลงเก็บไว้ในความทรงจำ

คำร้อง-ทำนอง : ศรัณยู วงษ์กระจ่างเรียบเรียงดนตรี : สมิทธ์ บัณฑิตย์นักดนตรี : วง ก.ไก่ + วงฆารวาส



วันวาน ไม่เคยหวนคืน ย้อนมา

เวลา เมื่อผ่านไปแล้ว ก็แล้ว

ดวงดาว ที่เคยพร่างพราว วับแวว

ผ่านคืน ผ่านแล้ว ก็ผ่านเลย

แต่ใจเรา ยังคง เหมือนเคย เหมือนเดิม

คอยเติม พลัง ให้กัน มั่นไว้

คอยเตือน จดจำ ย้ำจำ ฝังใจ

จนตาย จะไม่ลืมเลือน


(๑) ที่เคยหยัดยืน ฝืนทน สู้ฝ่าฟัน

นับร้อยร้อยวัน เรารวมกัน อย่างไร

ยังจำได้ไหม เราตะโกน ส่งเสียงว่าไง...(ไล่ใคร)

ทุกลมหายใจ เก็บไว้ในความทรงจำ


วันใด หากใจ หวนคิดถึงกัน

ในวัน เนิ่นนาน อีกนานแค่ไหน

ตัวเรา จะไกล แสนไกล เท่าไร

หัวใจ คงอยู่ ใกล้กัน



(๒) ให้จำบทเพลง ที่เราเคยร้องกัน

ทุกครั้ง ทุกวัน เราเต้นกัน ใช่ไหม

ที่กิน ที่นอน ที่อาบน้ำ และ ที่ใดๆ

ทุกลมหายใจ เก็บไว้ในความทรงจำ

ยังจำ ที่เรา ทุกข์ทนร่วมกัน

บางวัน ที่มี รอยยิ้ม สดใส

บางที ที่เรา ร้องไห้ เสียใจ

เก็บมันเอาไว้ อย่าลืม


(๓) กี่หมื่นรอยเท้า ที่เรา เดินก้าวไป

แม้แดดเผากาย ยังสบายอยู่ดี

กี่พายุฝน ถั่งโถม ในทุกทุกที่

ยังจำได้ดี และคิดถึงอยู่ทุกวัน


**พี่น้องเอ๊ย พี่น้องเอ๊ย

พี่น้องเอ๊ย ยังคุ้นเคยเสียงนี้ไหม

**เราไม่ถอย เราไม่ท้อ

เราเฝ้ารอ รวมพลังกันต่อไป

**พ่อครับ แม่ครับ

พี่พี่ครับ น้องน้องครับ

**ไม่เหน็บหนาว ไม่เหน็บหนาว

พี่น้องเรา ไม่ต้องกลัวสู้ต่อไป


Solo ๑

จดจำขึ้นใจ เราทำเพื่อใคร

เผ่าพันธ์เชื้อไทย ไม่ให้ใครครอบครอง

เรารักชาติไทย แผ่นดินขวานทอง

หมู่ไทยทั้งผอง เรารักพระเจ้าอยู่หัว


ยังจำ ที่เรา ทุกข์ทนร่วมกัน

บางวัน ที่มี รอยยิ้ม สดใส

บางที่ ที่เรา ร้องไห้ เสียใจ

เก็บมันเอาไว้ อย่าลืม


(๑) (๒) (๓)...Solo ๒

กี่หมื่นรอยเท้า ที่เรา เดินก้าวไป

แม้แดดเผากาย ยังสบายอยู่ดี

กี่พายุฝน ถั่งโถม ในทุกทุกที่

ทุกวินาที ใน ๑๙๓ วัน

ยัง จำ ได้ ดี และ คิด ถึง อยู่ ทุก วัน

ยัง จำ ขึ้น ใจ ทั้ง ๑๙๓ วัน

ทุก ลม หาย ใจ...เก็บ ไว้ ใน ความ ทรง จำ


ขอบคุณ AStvผู้จัดการ







25 พฤษภาคม 2552

เพลงเก็บไว้ในความทรงจำ



เพลงเก็บไว้ในความทรงจำ

คำร้อง-ทำนอง : ศรัณยู วงษ์กระจ่าง
เรียบเรียงดนตรี : สมิทธ์ บัณฑิตย์
นักดนตรี : วง ก.ไก่ + วงฆารวาส



วันวาน ไม่เคยหวนคืน ย้อนมา

เวลา เมื่อผ่านไปแล้ว ก็แล้ว

ดวงดาว ที่เคยพร่างพราว วับแวว

ผ่านคืน ผ่านแล้ว ก็ผ่านเลย

แต่ใจเรา ยังคง เหมือนเคย เหมือนเดิม

คอยเติม พลัง ให้กัน มั่นไว้

คอยเตือน จดจำ ย้ำจำ ฝังใจ

จนตาย จะไม่ลืมเลือน


(๑) ที่เคยหยัดยืน ฝืนทน สู้ฝ่าฟัน

นับร้อยร้อยวัน เรารวมกัน อย่างไร

ยังจำได้ไหม เราตะโกน ส่งเสียงว่าไง...(ไล่ใคร)

ทุกลมหายใจ เก็บไว้ในความทรงจำ


วันใด หากใจ หวนคิดถึงกัน

ในวัน เนิ่นนาน อีกนานแค่ไหน

ตัวเรา จะไกล แสนไกล เท่าไร

หัวใจ คงอยู่ ใกล้กัน


(๒) ให้จำบทเพลง ที่เราเคยร้องกัน

ทุกครั้ง ทุกวัน เราเต้นกัน ใช่ไหม

ที่กิน ที่นอน ที่อาบน้ำ และ ที่ใดๆ

ทุกลมหายใจ เก็บไว้ในความทรงจำ

ยังจำ ที่เรา ทุกข์ทนร่วมกัน

บางวัน ที่มี รอยยิ้ม สดใส

บางที ที่เรา ร้องไห้ เสียใจ

เก็บมันเอาไว้ อย่าลืม


(๓) กี่หมื่นรอยเท้า ที่เรา เดินก้าวไป

แม้แดดเผากาย ยังสบายอยู่ดี

กี่พายุฝน ถั่งโถม ในทุกทุกที่

ยังจำได้ดี และคิดถึงอยู่ทุกวัน


**พี่น้องเอ๊ย พี่น้องเอ๊ย

พี่น้องเอ๊ย ยังคุ้นเคยเสียงนี้ไหม

**เราไม่ถอย เราไม่ท้อ

เราเฝ้ารอ รวมพลังกันต่อไป

**พ่อครับ แม่ครับ

พี่พี่ครับ น้องน้องครับ

**ไม่เหน็บหนาว ไม่เหน็บหนาว

พี่น้องเรา ไม่ต้องกลัวสู้ต่อไป


Solo ๑

จดจำขึ้นใจ เราทำเพื่อใคร

เผ่าพันธ์เชื้อไทย ไม่ให้ใครครอบครอง

เรารักชาติไทย แผ่นดินขวานทอง

หมู่ไทยทั้งผอง เรารักพระเจ้าอยู่หัว


ยังจำ ที่เรา ทุกข์ทนร่วมกัน

บางวัน ที่มี รอยยิ้ม สดใส

บางที่ ที่เรา ร้องไห้ เสียใจ

เก็บมันเอาไว้ อย่าลืม


(๑) (๒) (๓)...Solo ๒

กี่หมื่นรอยเท้า ที่เรา เดินก้าวไป

แม้แดดเผากาย ยังสบายอยู่ดี

กี่พายุฝน ถั่งโถม ในทุกทุกที่

ทุกวินาที ใน ๑๙๓ วัน

ยัง จำ ได้ ดี และ คิด ถึง อยู่ ทุก วัน

ยัง จำ ขึ้น ใจ ทั้ง ๑๙๓ วัน

ทุก ลม หาย ใจ...เก็บ ไว้ ใน ความ ทรง จำ


ขอบคุณ AStvผู้จัดการ



17 พฤษภาคม 2552

สาเหตุที่เสื้อแดงล้มล้างองคมนตรี ..ปูทางสู่การล้มล้างสถาบัน

สาเหตุที่เสื้อแดงล้มล้างองคมนตรี ..ปูทางสู่การล้มล้างสถาบัน
อ้างอิงจาก forum.serithai.net/viewtopic.php?f=2&t=7647...

เกือบสองปีกว่าๆที่ผมเริ่มฟอร์เวิร์ดเมล์ ว่าทำไม ถึงมีความพยายามที่จะต้องการโจมตีพลเอกเปรม
ตั้งแต่นายสมัคร ยังเป็นพิธีกรรายการคู่กับดุสิตศิริวรรณ จนฟอร์เวิร์ดเมล์ฉบับนั้นแพร่หลายไปเป็นจำนวนกว้างมาก
ปรากฏอยู่ในหลายเวปบอร์ดและที่เสรีไทยนี้ก็มีปรากฏอยู่ ซึ่งวันหลังผมจะรวบรวมไว้ในกระทู้นี้ที่เดียว

วันนี้บังเอิญแวะเข้าเวป ของหนังสืออาวุธปืนเห็นความเห็นหนึ่งที่น่าสนใจจึงนำมาแปะไว้ให้อ่านตามแหล่งอ้างอิงนี้ครับ
http://www.gunsandgames.com/smf/index.p ... =70208.195
อ้างจาก: flyingkob ที่ เมษายน 10, 2009, 12:07:32 PM



ทำไมต้องมีองคมนตรี

ยังจำพฤษภาทมิฬ รสช ได้ไหม
ตอนนั้น ถ้ารัฐบาลเผด็จการ รสช นำโดยบิ๊กสุไม่ยอมเจรจา ไม่เข้าพบในหลวงจะเป็นยังไง
ก็คงฆ่ากันตายเป็นเบือใช่ไหม แล้วใครผู้ใดจะมาทำให้ประเทศสงบสุขได้ ในเมื่อพี่น้องประชาชนไม่มีอาวุธ
พระเจ้าอยู่หัวจึงจำเป็นต้องมีปรึกษาด้านความมั่นคง คนที่คอยสนับสนุนในหลวงในยามประเทศคับขัน
และต้องมีทหารที่จงรักภักดีส่วนหนึ่งที่สามารถสั่งการได้
ท่านพลเอกเปรม คือ ทหารเอกคนนั้น ดังนั้น ไม่แปลกเลยที่ต้องมีลูกป๋าประจำอยู่ในกองทหารทั้งสามเหล่าทัพ
หากเกิดเหตุการณ์แบบพฤษภาทมิฬ หรือเผด็จการที่นักการเมืองฮั้วกับทหาร หรือทหารล้วนๆ
และกลุ่มนี้ไม่ยอมฟังในหลวง ไม่ฟังพี่น้องประชาชน
เกิดการปะทะระหว่าง ทหารของรัฐกับ ประชาชนโดยตรง
ยังไง ก็ยังมีทหารกลุ่มหนึ่ง หรือทหารลูกป๋า คอยให้การอารักขา ช่วยคานกลุ่มไม่ดี
และสนับสนุนพระองค์สู้กับกลุ่มเผด็จการนั้นได้ ทำให้เผด็จการต้องยอมรับฟังในหลวง
ลงจากอำนาจแล้วคืน ปชต ให้พี่น้องประชาชนอีกครั้งได้
นี่คือเหตุผลที่ทำไม ต้องมีอำมาตย์ คอยคุ้มกันและสนับสนุนในหลวงของเราในภารกิจต่างๆ
และอำมาตย์เหล่านี้ ก็ได้รับการแต่งตั้งและสามารถปลดโดยพระองค์เอง
นี่คือ พระราชอำนาจทีพระองค์มีอยู่

วันนี้ ทักษิณพูดชัดเจนออกมาแล้วว่า ไม่ต้องการให้มีอำมาตย์ใดๆอยู่ข้างพระเจ้าอยู่หัวอีกต่อไป
ไม่ใช่แค่อำมาตย์เปรมคนเดียวนะครับ
แปลความหมายก็คือ เขาจะดูแลในหลวงเอง หรือ ถ้าไม่ใช่เขา ก็เป็นนักเลือกตั้งคนอื่นที่เขาบอกเสียงข้างมากจากประชาชน
แล้วถ้าวันหนึ่ง คนๆนี้ฮั้วหรือให้ผลประโยชน์ กับผู้นำกองทัพ ซึ่งเขาแต่งตั้งเอง
หรือพูดง่ายๆว่าเป็นลูกน้องเขา ก็คือคุมอำนาจทุกอย่างทั้งประเทศไทยได้เลย
เพราะในหลวงก็ไม่มีพระราชอำนาจใดๆแล้ว นอกจากลงพระปรมาภิไธยอย่างเดียว
แล้วคนๆนั้นเขาจะยังจงรักภักดีต่อในหลวงอีกหรือ พระองค์ไม่มีพระราชอำนาจใดๆเลย
หรือ วันหนึ่ง ถ้าทหารที่คุมกำลังอยู่ อยากเป็นใหญ่ซะเอง ก็ย่อมปฎิวัติเอาคนๆนี้ลงอยู่ดี โดยไม่ต้องฟังอำมาตย์ที่ไหน เพราะอำมาตย์ไม่มีแล้ว
แล้วคุณคิดหรือว่า ประเทศไทยยังจะเป็นประชาธิปไตยแบบที่คุณต้องการอีก
ดูรัฐบาลทหารพม่าข้างบ้านเป็นตัวอย่างก็ได้ เหมือนๆแบบนี้แหละ

... พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวอีกว่า ต่อไปนี้เราจะเข้าสู่ยุคของประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
ไม่มีอำมาตย์มายุ่ง มีแต่ประชาชนกับพระมหากษัตริย์เท่านั้น ....

คำพูดข้างบนที่หลุดออกมา มันชัดแล้วครับ และก็อย่าแปลกใจว่า ทำไมเป้าโจมตีเป็นป๋าเปรม สุรยุทธ พิจิตร
องคมนตรีด้านความมั่นคงทั้งหมด เพราะสุรยุทธก็เป็นคนหนึ่งที่ทหารทุกเหล่าทัพให้ความเชื่อถือ
อาจจะเป็นตัวแทนท่านเปรมในการถวายการอารักขาเป็นทหารเอกปกป้องสถาบันได้ในอนาคต
ตอนนี้ ทักษิณประกาศชัด ไม่เอาอำมาตย์ หรือองคมนตรีทั้งระบบ นั่นก็คือ ไม่ยอมให้พระราชอำนาจแก่ในหลวงอีกแล้ว
แล้วเขาก็ขายฝันว่า ถ้าไม่มีระบบนี้ ประเทศจะเจริญสุดๆ คุณเชื่อเขาหรือ คนที่เกาะแข้งเกาะขา รสช จนรวยคนนี้
มันชัดเจนแล้วว่า ทักษิณต้องการล้มล้างระบอบการปกครองอันมีพระมหากษัตร์ย์ทรงเป็นประมุข

คำว่าอำมาตย์ทีอ้างตามหลักวิชาการว่า เป็นพวกศักดินา กลุ่มข้าราชการอะไรนั่น
จริงๆแล้ว เป้าหมายก็คือ อำมาตย์องคมนตรีนั่นเอง เขาไม่ต้องการให้มีเกราะป้องกันในหลวงอีก
ถอดหมด แม้กระทั่งให้ยกเลิกกฎหมายหมิ่นพระบรมราชานุภาพ
เพื่อสะดวกในการใข้วิชามารล้างสมองให้สภาบันเสื่อมเป็นลำดับต่อไป

คุณแน่ใจหรือว่า คนๆนี้เขาเป็นวีระบุรุษ ผู้ปลดแอก
ผมแน่ใจว่า เขายิ่งกว่า มากอส รวมกับซูฮาร์โต้และอภิมหาเผด็จการรวมกันอีก
ดูจากน้ำลายที่เขาพ่น และยึดติดในอำนาจก็น่าจะรู้ ขายฝัน ชมตัวเองทุกวัน ศาลก็ไม่ดี
ใครก็ไม่ดี นอกจากเขาบอกว่า ดีก็ต้องดี

ผมไม่มีสี ไม่ได้กล่อมให้ใครเชื่อ ไม่จำเป็นต้องเขื่อผม แต่ขอให้คุณหยุดพิจารณาสักนิด ถ้าคุณยังมีสมองของตัวเองอยู่
อย่ามองแค่ผลประโยชน์ระยะสั้น มองยาวๆ มองอดีต ดูว่า ตลอดหกสิบกว่าปีมานี้ ประเทศไทยรวมใจมั่นคงเป็นหนึ่ง มีสุขสงบได้เพราะใคร

ผมบอกได้เลย ประเทศไทยยังไงก็ต้องมีอำมาตย์ครับ ผมต้องการอำมาตย์ ที่ในหลวงทรงพิจารณาเลือกสรรด้วยพระองค์เอง
ที่คอยเป็นที่ปรึกษา ค้ำราชบัลลังค์ของพระมหากษัตร์ย์ที่ดีที่สุดในโลกพระองค์นี้ ผมเชื่อในพระวิจารณญาณของพระองค์ครับ
และผมไม่เชื่อคำพูดของแค่ เศรษฐีสัมปทานคนหนึ่งมาเล่นการเมืองที่เอาตัวเองเป็นกฎหมาย เป็นความถูกต้องทุกอย่าง
ที่ได้แต่บอกว่า ไม่ต้องมีอำมาตย์ต่อไป เขาจะดูแลในหลวงแทนอำมาตย์เองอย่างดี ผมไม่เชื่อครับ

รวมภาพเหตุการณ์ 7 ตุลา 51


อาลัยยิ่ง 7 ตุลา 51

ขอแสดงความเสียใจเป็นอย่างยิ่ง กับครอบครัวผู้เสียชีวิต พิการ และบาดเจ็บจากการชุมนุม เราขอเชิดชู ยกย่อง และสดุดีผู้ที่เสียสละชีวิต พิการ และบาดเจ็บเพื่อปกป้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่ง ชาติ ราชบัลลังก์ และรัฐธรรมนูญ ทั้งในสถานที่ชุมนุมและนอกสถานที่ชุมนุม ให้เป็น “วีรชน” ที่จะถูกจารึกอยู่ในประวัติศาสตร์และในจิตใจของพวกเราตลอดไป โดยมีรายนามวีรชนผู้เสียชีวิตดังต่อไปนี้

1. นางสาวอังคณา ระดับปัญญาวุฒิ ผู้ชุมนุมอย่างสงบและปราศจากอาวุธ เสียชีวิตอันเนื่องมาจากเหตุการณ์เจ้าหน้าที่รัฐใช้อาวุธทำร้ายเข่นฆ่า ประชาชนจากบริเวณหน้ากองบัญชาการตำรวจนครบาล ในคืนวันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2551

2. พันตำรวจโท เมธี ชาติมนตรี การ์ดอาสาของพันธมิตรเสียชีวิตจากการถูกฆาตกรรมและถูกทำลายหลักฐานด้วยการ ระเบิดรถ ในสถานการณ์ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเข่นฆ่าทำร้ายประชาชนในการสลายการชุมนุมที่ หน้ารัฐสภา เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2551

3. นายสมเลิศ เกษมสุข ผู้ชุมนุมและผู้ประสานงานแท็กซี่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้เข้าร่วมชุมนุมมาอย่างยาวนาน และได้เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจในที่ชุมนุมบริเวณ ถนนพิษณุโลก ข้างทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2551

4. นายเจนกิจ กลัดสาคร ผู้นั่งฟังการปราศรัยบนเวทีอย่างสงบและปราศจากอาวุธ เสียชีวิตเนื่องจากถูกอาวุธสงครามประเภทระเบิด M-79 ยิงมาจากภายนอกสถานที่ชุมนุมเข้ามาทะลุเต้นท์ผ้าใบในทำเนียบรัฐบาล เมื่อคืนวันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

5. นายยุทธพงษ์ เสมอภาพ การ์ดอาสาที่กำลังทำหน้าที่แจกน้ำและอาหารให้กับสารวัตรทหารบริเวณสี่แยก มิสกวัน เสียชีวิตเนื่องจากคนร้ายฝ่ายรัฐบาลนั่งมอเตอร์ไซค์ยิงอาวุธสงครามประเภท ระเบิด M-79 จากริมรั้วกองบัญชาการตำรวจนครบาลเข้ามาในพื้นที่ชุมนุม เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

6. นายเศรษฐา เจียมกิจวัฒนา บิดาของแกนนำกลุ่มทหารเสือพระราชา ซึ่งเป็นกลุ่มแนวร่วมที่จัดรายการวิทยุชุมชน ซึ่งถ่ายทอดสดภาพและเสียงของการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จังหวัดเชียงใหม่ ถูกกลุ่มอันธพาลของรัฐบาล 50 คนใช้ปืน มีด และใช้ท่อนเหล็กรุมทำร้ายร่างกายจนเสียชีวิตเมื่อคืนวันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

7. นางสาวกมลวรรณ หมื่นหนู ผู้นั่งฟังการปราศรัยบนเวทีอย่างสงบและปราศจากอาวุธอยู่ที่ทำเนียบรัฐบาล เสียชีวิตเนื่องจากคนร้ายฝ่ายรัฐบาลได้ยิงอาวุธสงครามประเภทระเบิด M-79 ยิงมาจากภายนอกสถานที่ชุมนุมเข้ามาทะลุเต้นท์ผ้าใบ เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

8. นายรณชัย ไชยศรี ผู้ชุมนุมอย่างสงบและปราศจากอาวุธที่สนามบินดอนเมือง เสียชีวิตเนื่องจากมีคนร้ายฝ่ายรัฐบาลได้ยิงอาวุธสงครามประเภทระเบิด M-79 ยิงมาจากบริเวณทางด่วนเข้ามาในสถานที่ชุมนุมในขณะที่ผู้ชุมนุมส่วนใหญ่กำลัง นอนหลับอยู่ในเวลากลางคืนของวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ.2551

9. น.ส.ศศิธร เชยโสภณ หรือ ติ๊ก การ์ดอาสาฯ ประสบอุบัติเหตุตกจากรถยนต์ปิกอัพ ขณะทำขนของออกจากทำเนียบรัฐบาล ศีรษะฟาดพื้น ต้องเข้ารักษาตัวในห้องไอซียู โรงพยาบาลมิชชั่น จนเมื่อวันที่ 6 ธ.ค.น้องติ๊กได้เสียชีวิตลงอย่างสงบ ท่ามกลางความโศกเศร้าเสียใจของญาติมิตรและเพื่อนการ์ดอาสาพันธมิตรฯ
สำหรับ น.ส.ศศิธร เชยโสภณ หรือ ติ๊ก อายุ 32 ปี มีอาชีพเป็นพนักงานต้อนรับที่โรงแรมแห่งหนึ่งย่านอุรุพงษ์ ร่วมทำหน้าที่การ์ดอาสา สังกัด สน.พันธมิตร ตั้งแต่เดือนมิถุนายน ที่ผ่านมา โดยเป็นเจ้าหน้าที่ประจำศูนย์สั่งการเคลื่อนที่ ในปฏิบัติการดาวกระจายหลายครั้ง ดูแลข้อมูลการออกบัตรผ่านพื้นที่ควบคุมชั้นในของทีมงานและแกนนำ รวมทั้งช่วยดูแลจัดการด้านที่พักให้กับแกนนำ และผู้ปราศรัยบนเวทีพันธมิตรหลายคน







กมธ.วุฒิ 3 คณะสรุปเหตุการณ์7 ตุลา

กมธ.วุฒิ 3 คณะสรุปเหตุการณ์7 ตุลา ตำรวจทำเกินกว่าเหตุ ผิดหลักสากล แล้วใครรับผิดชอบ

คณะกรรมาธิการของวุฒิสภาฯ 3 คณะที่ตั้งอนุกรรมาธิการขึ้นมาสอบสวนเหตุการณ์เมื่อวันที่ 7 ตุลา 2551 ที่ตำรวจยกกำลังเข้าสลายการชุมนุมของพันธมิตร ที่เคลื่อนตัวไปชุมนุมปิดล้อมรัฐสภา เพื่อไม่ให้รัฐบาลแถลงนโยบาย ด้วยการยิงแก๊สน้ำตาเข้าใส่ผู้ชุมนุม จนเป็นเหตุให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ ล้มตายเป็นจำนวนมาก ได้สรุปผลการสอบสวนออกมาแล้ว


3 กมธ.วุฒิ สรุปผลสอบเหตุสลายม็อบเมื่อวันที่ 7 ตุลาคมตำรวจทำเกินกว่าเหตุ ผิดหลักสากล และ"น้องโบว์" เสียชีวิตจากการโดนแก๊ซน้ำตา
คณะอนุกรรมาธิการ (กมธ.) ตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้แก๊สน้ำตาสลายกลุ่มผู้ชุมนุม เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ในคณะกรรมาธิการศึกษาตรวจสอบเรื่องการทุจริตและเสริมสร้างธรรมาภิบาล คณะอนุกรรมาธิการพิสูจน์สาเหตุการเสียชีวิตของ น.ส.อังคณา ระดับปัญญาวุฒิ ในเหตุการณ์หน้าลานพระบรมรูปฯวันที่ 7 ต.ค.
ในคณะกรรมาธิการการสาธารณสุขและคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาและติดตามสถานการณ์ความรุนแรงและปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง ในคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา ร่วมกันจัดเสวนาเรื่อง..
"รายงานผลการตรวจสอบเหตุการณ์ความรุนแรงวันที่ 7ตุลาคม"
พล.ต.ต.เกริก กัลยาณมิตร รองประธานกมธ.ศึกษาตรวจสอบเรื่องการทุจริต ฯ กล่าวว่า คณะอนุกมธ.ตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ ตรวจสอบหลักฐานต่าง ๆ ที่ปรากฏ พบข้อสังเกต 11 ข้อ คือ
1. รัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกฯ ยังมีเวลาแถลงนโยบายได้ถึงวันที่ 9 ต.ค.แต่กลับรีบแถลงวันที่ 7 ต.ค. ทั้งที่ทราบว่ามีมวลชนมาปิดล้อมรัฐสภาตั้งแต่คืนวันที่ 6 ต.ค.ซึ่งควรมีเวลาในการเจรจากับผู้ชุมนุม
2. รัฐบาลสามารถเลือกสถานที่อื่นแทนที่ทำการรัฐสภาได้ซึ่งทางรองประธานสภา คนที่ 2 ก็หาที่สำรองไว้ 3 แห่ง แต่รัฐบาลกลับเดินหน้าใช้รัฐสภาแถลงนโยบายทั้งที่รู้ว่าจะเกิดความรุนแรง
3. รัฐบาลเข้ามาแถลงนโยบายในรัฐสภาโดยใช้การสลายฝูงชนรุนแรงจนมีผู้บาดเจ็บจำนวนมากและบาดเจ็บสาหัส
4. หลังแถลงนโยบาย รัฐบาลมิได้สั่งการให้ตำรวจหยุดสลายการชุมนุม แต่ยังมีการสลายการชุมนุมต่อจนถึง 24.00 น.
5.การสลายการชุมนุมไม่ทำตามหลักสากลและแผนกรกฏ 48 ไม่มีการเจรจาและทำตามขั้นตอนจากเบาไปหาหนัก
6. ตำรวจยิงแก๊สน้ำตาเลย โดยไม่เริ่มจากการใช้โล่และกระบองผลักดันหรือใช้น้ำฉีด
7. ตำรวจเจาะจงเลือกใช้แก๊สน้ำตาของจีน ที่มีสารระเบิดมากถึงขั้นทำลายอวัยวะคนได้ ซึ่งการสลายการชุมนุมในช่วงเช้า มีคนขาขาดแขนขาด แต่ตำรวจยังใช้วิธีการแบบเดิมสลายการชุมนุมตลอดทั้งวัน
8. ตำรวจยิงกระสุนแก๊สน้ำตาหรือขว้างระเบิดแก๊สน้ำตาใส่ผู้ชุมนุมโดยตรง
9. หลังจากส.ส.ส.ว.ออกจากรัฐสภาแล้วตำรวจยังสลายการชุมนุมแบบเดิมขณะผู้ชุมนุมเดินทางกลับ ถือว่าไม่สมเหตุสมผลและไม่ชอบธรรม
10. การสลายการชุมนุมมีตำรวจบาดเจ็บและทรัพย์สินราชการเสียหาย แต่นายกฯไม่คำนึงถึง
11.นายกฯ และรัฐบาล เจ้าหน้าที่ตำรวจทุกระดับ ไม่แสดงความรับผิดชอบและไม่ตระหนักผลกระทบจากการสลายการชุมนุมที่ทำให้ทัศนคติระหว่างตำรวจและประชาชนไปในทางลบ
ทั้งหมดขอให้เป็นบทเรียนครั้งสุดท้ายของการแก้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองที่ทำให้เกิดความสูญเสีย
พล.ต.ต.เกริก กล่าวต่อว่า การสลายการชุมนุม เจ้าหน้าที่ตำรวจคงไม่มีความรู้ในการใช้อาวุธ และไม่ทราบว่า ตชด. นำเบิกแก๊สน้ำตามาจากไหน ดังนั้นเหตุการณ์วันที่ 7 ต.ค. รัฐบาลจะต้องตั้งผู้บัญชาการเหตุการณ์ขึ้นมารับผิดชอบ จากกรณีที่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ลาออกจากรองนายกรัฐมนตรี ก็ยังไม่มีผู้มารับผิดชอบต่อ และเหตุการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้น เนื่องจากตำรวจมาจากหลายหน่วยงาน หลายโรงพัก ทำให้มีความสับสนในการสั่งการ ดังนั้น ผบ.ส่วนหน้าจะต้องมาเล่นในสนามจริงๆ ไม่ใช่อยู่ที่ บชน. แล้วฟังวอ เพื่อสั่งการเท่านั้น
พล.อ.ต.นพ.วิชาญ เบี้ยวนิ่ม อนุกมธ.พิสูจน์สาเหตุการเสียชีวิตฯ และหัวหน้าหน่วยนิติเวช รพ.รามาธิบดี ผู้ชันสูตรศพน.ส.อังคณา กล่าวว่า น.ส.อังคณา เสียชีวิตก่อนมาถึงโรงพยาบาล ทั้งนี้เมื่อศพมาถึงพบว่า ปนเปื้อนแก๊สน้ำตา จึงต้องล้างหลายครั้งก่อนชันสูตร เมื่อชันสูตรพบว่า เสื้อผ้าฉีก มีรอยไหม้ดำ บาดแผลใหญ่บริเวณอกด้านซ้ายต่อเนื่องมาถึงแขน ขนาด 40x14 ซม. ลึกถึงซี่โครง ซี่โครงหักตลอดแนว ปอดช้ำเลือดออกกระจาย ม้ามแตก เยื่อหุ้มหัวใจและผนังทะลุ
เมื่อส่องกล้องจุลทรรศน์พบชัดเจนว่า เป็นเพราะแรงอัดและความร้อน สารเคมีที่ปนเสื้อผ้าก็เป็นสารประกอบของระเบิดแก๊สน้ำตาไม่ใช่ระเบิดปิงปองหรือระเบิดสังหาร และเป็นการระเบิดใกล้ตัว ไม่ได้ชิดตัว จึงไม่ใช่การพกระเบิดแล้วระเบิดเอง
นายไพบูลย์ นิติตะวัน อนุกมธ.ติดตามสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองฯ กล่าวว่า สตง. ตรวจพบว่า กองพลาธิการและสรรพาวุธ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซื้อระเบิดแก๊สน้ำตาจากจีน โดยเป็นแบบขว้าง 17,000 ลูก เมื่อปี 36-38 แบบยิงจำนวน 40,800 ลูก เมื่อปี 36 และยังพบว่า รองผบ.ตร.คนหนึ่ง ขอระเบิดแก๊สน้ำตาจาก 4 หน่วย ซึ่งเป็นอาวุธเก่า ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 51
โดยระบุชัดว่า “ ขอชนิดขว้างผลิตในประเทศจีน ” เพื่อควบคุมการชุมนุม ไม่ใช่ขอการกองพลาธิการ นอกจากนี้ พล.ต.ท.อัมพร จารุจินดา อดีตผู้เชี่ยวชาญสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ มาให้ข้อมูลว่า ระเบิดแก๊สน้ำตาดังกล่าว มีซีโฟร์ 7 กรัม จุดชนวนแล้วพุ่ง 200-300 ฟุต ต่อวินาที สามารถเป็นอันตรายต่อร่างกาย และในลูกระเบิด ส่วนผสมที่เป็นแก๊สน้ำตาจะเสื่อมใน 5-8 ปี ส่วนส่วนผสมที่เป็นซีโฟร์ ไม่หมดอายุ

ทั้งนี้ระเบิดแก๊สน้ำตาดังกล่าว ตำรวจเรียกคืนมาเก็บหมด เพราะใช้ตั้งแต่ พฤษภา 35 และหมดอายุแล้ว นอกจากนี้ ฝ่ายตำรวจยังเคยระงับการซื้อระเบิดแก๊สน้ำตาจากจีนเพราะพบว่า ร้ายแรง ไม่รู้ว่าทำไมจึงนำกลับมาใช้อีก ส่วนฝ่ายตำรวจใช้ระเบิดแก๊สน้ำตาไปจำนวนเท่าใด อนุฯกำลังตามตรวจสอบอยู่
นายสมชาย แสวงการ ประธานอนุกมธ.ติดตามสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองฯ กล่าวว่า อนุกมธ.ตรวจสอบหลักฐานพบเหตุผิดปกติ 7 ข้อ คือ
1. การสลายการชุมนุมที่ทำให้เกิดการบาดเจ็บสาหัสหรือเสียชีวิตเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน และเสรีภาพของประชาชนตามปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง
2. รัฐบาลสามารถหลีกเลี่ยงความรุนแรงดังกล่าวได้แต่ไม่ทำ
3. การกระทำของตำรวจเกิดจากมติครม.เมื่อคืนวันที่ 6 ต.ค.ฉะนั้นรัฐบาลและสำนักงานตำรวจแห่งชาติต้องรับผิดชอบ
4. ตำรวจปฏิบัติข้ามขั้นตอนที่ 2 ของแผนกรกฏ 48 ไม่มีการเจรจาและช้ำกำลังจากเบาไปหาหนัก และละเลยข้อ ฝ.ในแผนกรกฏ 48 ที่ให้พึงระลึกว่า การชุมนุมในขอบเขตของกฎหมายเป็นสิทธิที่ทำได้ตามรัฐธรรมนูญ เจ้าหน้าที่ต้องปฏิบัติละมุนละม่อม แต่ปรากฏว่า ตำรวจทำการรุนแรงมากตลอดทั้งวัน
5. ตำรวจขาดดุลพินิจและความไม่เหมาะสมของการใช้อาวุธในการสลายการชุมนุม เพราะการสลายการชุมนุมช่วงเช้าพบผู้บาดเจ็บสาหัสหลายราย ขาขาด แต่ยังคงใช้อาวุธรุนแรงดังกล่าวตลอดทั้งวัน
6. พบว่า มีการยิงกระสุนแก๊สน้ำตาเข้าใส่รถพยาบาลและมีเจ้าหน้าที่พยาบาลถูกยิงด้วยกระสุนยางจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ ถือว่า ขัดหลักสากลในการช่วยเหลือผู้บาดเจ็บในที่เกิดเหตุ และขัดขั้นตอน 4 ของแผนกรกฏ 48
7. งบเยียวยาของรัฐบาล หลักเกณฑ์การพิจารณายังไม่เหมาะสม ไม่เป็นธรรม อาจกระตุ้นให้เกิดการใช้ความรุนแรงมากขึ้นในอนาคต
น.ส.รสนา โตสิตระกูล ส.ว.กทม ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการศึกษาตรวจสอบเรื่องการทุจริต และเสริมสร้างธรรมาภิบาล กล่าวว่า รัฐบาลน่าจะยับยั้งตั้งแต่มีการสลายการชุมนุมในครั้งแรก เนื่องจากรู้ดีว่าแก๊สน้ำตาส่งผลให้เกิดความเสียหายอย่างรุนแรง แต่ในทางกลับกันกลับใช้การสลายการชุมนุมที่รุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนี้ตนอยากตั้งข้อสังเกตว่า เหตุใดเจ้าหน้าที่รัฐถึงมีการเก็บกวาดหลักฐานเร็วมาก ซึ่งตามหลักสากลควรมีการพิสูจน์หลักฐานก่อน

นี่เป็นผลสอบของคณะกรรมาธิการของวุฒิสภา แต่กรรมการสอบสวนในส่วนของรัฐบาลยังไม่เห็นความก้าวหน้าว่าไปถึงไหน เพราะไม่มีใครออกมาแถลงให้ได้รับทราบ หรือกำลังยื้อเวลาอยู่หรือไม่
แต่สำหรับท่าทีของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ดูเหมือนจะยังเฉยเมยต่อผลสรุปที่ออกมา โดยกล่าวแต่เพียงว่า ยังไม่เห็นผลการสอบสวน เพิ่งทราบจากสื่อมวลชนเหมือนกัน
เมื่อถามว่า รัฐบาลจะรับฟังเฉพาะผลการสอบสวนของคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงที่รัฐบาลตั้งขึ้นใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวเลี่ยงว่า คณะกรรมการชุดอื่นตนก็ไม่ทราบว่ามีใครสอบสวนบ้างก็ต้องดูว่าใครมีสิทธิ์ทำอะไรและผลเป็นอย่างไร แต่สุดท้ายก็ต้องดูข้อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์หรือผลที่แท้จริงที่จะสรุปออกมา
นี่เป็นผลสอบที่รัฐบาลต้องรับฟัง ไม่ใช่รอแต่ผลสอบของคณะกรรมการที่รัฐบาลตั้งขึ้นมา ซึ่งกรรมการบางคนก็ลาออกไปแล้ว ไม่รู้เกิดจากสาเหตุอะไร...
ข้อมูลจาก http://thecityjournal.blogspot.com

9 พฤษภาคม 2552

ฆ่าประชาชน”- 10 เรื่อง พบที่เมืองไทยเท่านั้น !!

โดย ผู้จัดการออนไลน์
18 ตุลาคม 2551 11:46 น.


ความอำมหิตที่เกิดขึ้นตั้งแต่เช้าตรู่ของวันที่ 7 ตุลาคม 2551 หน้ารัฐสภาและบริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า น่าจะถูกจารึกให้กลายเป็นวันที่ตำรวจเข่นฆ่า เด็ก สตรี และคนชราอย่างโหดเหี้ยมที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ชาติไทย อย่างไรก็ตาม วันมหาโหดนั้นยังมีเหตุการณ์ Amazing ที่น่าจะเป็นครั้งแรกในโลกที่น่าบันทึกเอาไว้ด้วย

Metro Life ขอหยิบเรื่องราวต่างๆ มาบันทึกให้ลูกหลานได้จดจำกัน

1. รัฐบาลยังไม่เคยได้เหยียบทำเนียบ

คณะรัฐบาลของ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ถ้าเป็นพ่อค้า แม่ค้า ก็เป็นประเภท “หาบเร่ แผงลอย” ถ้าเป็นพวกอมนุษย์ก็เปรียบได้กับ “ผีผ่านวิญญาณจร” หาที่พักพิงเป็นหลักแหล่งไม่ได้ ตั้งแต่ที่ได้รับการโปรดเกล้าฯ เมื่อ18 กันยายน 2551 ยังไม่ได้เข้าทำเนียบรัฐบาลเพื่อบริหารงานแผ่นดิน ปัจจุบัน เป็นรัฐบาลชุดเดียวในประเทศไทยที่ระหกระเหินเร่ร่อนไปใช้กองทัพอากาศ บน.6 เป็นทำเนียบรัฐบาล


2. รัฐบาลแถลงนโยบายท่ามกลางเลือดและเสียงระเบิด

นับว่าครึกครื้นอย่างยิ่งกับการแถลงนโยบายของรัฐบาลนายสมชาย เพราะขณะที่ตำรวจเปิดฉากฆ่าผู้ชุมนุมเพื่อเปิดทางให้เจ้าหน้าที่รัฐสภา, ส.ส. ฝ่ายรัฐบาล และสมาชิกวุฒิสภาฟากรัฐเข้าประชุมเพื่อรับฟัง สมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อรัฐสภาอย่างไม่ยี่หระ เป็นการแถลงนโยบายท่ามกลางสถานการณ์ความวุ่นวาย และการเสียเลือด เสียเนื้อและชีวิตของประชาชนภายนอก ในที่ประชุมสภาฯ วันนั้น รสนา โตสิตระกูล ส.ว.ได้ลุกขึ้นประท้วงการแถลงนโยบาย แต่ถูก ส.ส. พรรคพลังประชาชนชี้หน้าด่าทอ และถูกเชิญให้ออกจากที่ประชุม เรื่องที่น่าบันทึกไว้อีกก็คือ การแถลงนี้จบในเวลา 3 ชั่วโมงจากที่กำหนดไว้ 3 วัน แถมการออกจากสภาของนายกฯ ก็ยังต้องออกโดยปีนรั้วไปขึ้นเฮลิคอปเตอร์ ขณะที่ประธานสภาอย่างนายชัย ชิดชอบก็ต้องปีนรั้วหนีเหมือนกัน


3. รัฐบาลด้าน “ ไม่ยุบ – ไม่ออก “
แม้จะมีหลายองค์กร, หน่วยงาน ที่ต้องการให้รัฐบาลแสดงความรับผิดชอบต่อกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 จนส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 2 คน และบาดเจ็บถึง 443 คนวันที่ 12 ตุลาคม 2551เวลา 20.30 น. สมชาย วงศ์สวัสดิ์ แถลงข่าว ใช้เวลาเพียง 10 นาทีเศษ ใช้ตะแกรงร่อนคำพูดแล้วก็ไม่พบสาระใดๆ และไม่มีแม้แต่คำว่า “ขอโทษ” ต่อหน้าประชาชน แถมแสดงจุดยืนเพื่อจะขอทำเนียบฯคืนจากกลุ่มพันธมิตรฯ อีกต่างหาก ท่าทีเช่นนี้ของนายสมชายถูกคนที่รักความเป็นธรรมในประเทศไทยยกให้เป็นทรราชหน้าใหม่ที่เข้าดำรงตำแหน่งนี้เร็วที่สุด นั่นคือ ไม่ถึงเดือนดี ขณะที่ทรราชคนก่อนหน้านั้นใช้เวลาสะสมความเป็นทรราชยยู่ อย่างต่ำก็ 2 เดือน

4.ตำรวจยิงแก๊สน้ำตา “วิถีตรง”เพื่อสลายการชุมนุม

มาตรการสลายการชุมนุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจจะต้องเริ่มจากมาตรการ “เบาไปหาหนัก” เช่น เจรจา --- เตือน --- แจ้งผู้ชุมนุมล่วงหน้าว่าจะมีการสลายการชุมนุม --- ใช้โล่ กระบอง ผลักดันผู้ชุมนุม --- ใช้รถฉีดน้ำ --- ใช้แก๊สน้ำตา --- ฯลฯ เป็นต้น การสลายการชุมนุม เช่น วันที่ 29 สิงหาคม, แต่ในวันที่ 7 ตุลาคม ล้วนผิดจากหลักสากลปฏิบัติทั้งสิ้น เพราะไม่มีการแจ้งเตือน ไม่มีรถน้ำมาฉีด (ตำรวจอ้างว่า กทม.ไม่ให้รถน้ำ) เมื่อเดินมาถึงก็ยิงกันอย่างตรงๆ ใส่คน ตามด้วยระเบิดที่ไม่ทราบชนิด ปาใส่ผู้ชุมนุมทันที การยิงใส่โดยตรงและปาระเบิดยังกับในหนังสงครามนี้ ตำรวจได้แก่ พลตำรวจตรีอำนวย นิ่มมะโน ออกมาระบุว่า เป็นหลักวิธีปฏิบัติแบบสากล ส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ แขน – ขาขาด และเสียชีวิตทันที ขณะที่สากลปฏิบัติที่ใช้กันทั่วโลกคือ การยิงขึ้นฟ้า หรือยิงในวิถีโค้ง หลีกเลี่ยงที่จะปะทะกับฝูงชน นอกจากนี้ข้อมูลตำรวจที่ให้ยังไม่ตรงกันสักวันเดียว เพราะขณะที่อ้างว่าแก๊สน้ำตาที่ระเบิดฉีกเนื้อผู้คนนั้นเป็นระเบิดจากจีน แต่อีกฝั่งของตำรวจบอกว่า มันไม่มีระเบิดชนิดนี้อยู่ในคลังตั้งแต่ปี 38 แล้ว

5. สเปเชียลเอฟเฟกต์ยอดเยี่ยมแห่งปี !?

หลังเหตุการณ์นี้ ขบวนการสารเลว ปั้นเรื่อง ปั้นกระทู้ กล่าวเท็จในเวบบอร์ดต่างๆ อาทิ ห้องราชดำเนิน ในพันทิป ดอตคอม เพื่อสร้างกระแสว่าพันธมิตรฯ ได้นำคนแขนขาดขาด้วน ซึ่งมีอาชีพขายสลากกินแบ่งรัฐบาลมาจัดฉากแต่งให้เหมือนราวกับสเปเชียลเอฟเฟกต์ ในภาพยนตร์ หรือแม้แต่ระเบิด แก๊สน้ำตา พันธมิตรฯ ได้นำมาเอง เกิดการดันในคลื่นฝูงชนจนเป็นเหตุให้เกิดระเบิดในกลุ่มพวกเดียวกัน แล้วป้ายสี ใส่ร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจความใจร้ายยังลามไปถึงกรณีน้องโบว์ น.ส.อังขณา ระดับปัญญาวุฒิ อายุ 27 ปี เพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจระบุว่า ผู้ตายหนีบระเบิดมาเองแล้วเกิดระเบิดขึ้น ค้านกับการชันสูตรของแพทย์ที่ระบุถึงสาเหตุการเสียชีวิตว่า หัวใจทะลุและเลือดออกในช่องปอด ลักษณะของบาดแผลเกิดจากถูกของแข็งที่มีความร้อนเข้าปะทะด้วยความเร็วสูง โดยความเร็วและความแรงเปรียบเทียบได้เท่ากับแรงกระแทกของการตกตึก 3 ชั้น และยังพบคราบเขม่ารวมทั้งรอยไหม้ทั่วบริเวณร่างกาย เชื่อว่าแผลฉีดขาดในระดับนี้ต้องไม่ใช่แก๊สน้ำตาอย่างแน่นอน

6. ตำรวจโกหกหน้าตาย !?

รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และรองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล พูดเสมอว่า หากกระสุนกระทบร่างกายจะเกิดอาการปวดแสบปวดร้อน แต่ไม่มีอานุภาพทำลายล้าง และไม่ก่อให้เกิดบาดแผล อย่างไรก็ดีหลายคนยังสงสัยว่า ถ้าแก๊สน้ำตาฆ่าคนไม่ได้ แล้วระเบิดอะไรกันที่ทำให้คนขาด้วนทันที 4 คนหน้าบช.น.เมื่อถูกซักถึงเรื่องนี้ ข้อที่ตำรวจอ้างมาง่ายๆ อย่างชวนหัวก็คือ เป็นผลงานของมือที่ 3 !! เป็นมือที่ 3 ที่มีรูปร่างหน้าตา และชุดเหมือนตำรวจเป๊ะๆต่อมานอกจากอ้างเรื่องมือที่ 3 แล้ว พลตำรวจตรี อำนวย นิ่มมะโน รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ยังกล่าวว่า นอกจากแก๊สน้ำตาแล้ว ตำรวจใช้อุปกรณ์อื่นลักษณะคล้ายระเบิดมือลูกเกลี้ยงก็คือ แก๊สน้ำตาแบบขว้าง ซึ่งเป็นการใช้ในระยะประชิดตัว หลังแถลงข่าวมีการทดลองปาใส่หุ่น ที่มณฑลทหารบกที่ 11 เป็นการยิงแก๊สน้ำตารวม 6 ลูก หลากรูปแบบ เข้ากระสอบทราย , หุ่น และขว้างลงกับพื้น จนคนที่ดูต้องขำว่าถ้าไม่เป็นอันตรายทำไมไม่เอาตำรวจไปยืนรับลูกระเบิดตรงๆ แบบที่ยิงใส่ประชาชน


ข้อมูลตามน้ำในอีกวันจาก พล.ต.ท.อัมพร จารุจินดา อดีตผู้บัญชาการสำนักงานนิติวิทยาศาสตร์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า แก๊สน้ำตาที่ใช้มี 3 แบบ คือ 1.รุ่นที่สั่งซื้อจากสหรัฐฯ ราคาแพง เมื่อยิงจะไม่มีการระเบิด ไม่มีลูกไฟ มีเพียงควันซึมออกมาเท่านั้น เป็นชนิดเดียวกับที่ตำรวจสาธิตให้สื่อมวลชนดู 2.รุ่นที่สั่งซื้อจากประเทศจีน ราคาถูก มีความยาว 6 นิ้ว เส้นผ่าศูนย์กลาง 38 มิลลิเมตร น้ำหนัก 2 ขีด เมื่อยิงออกไปและตกกระทบ หรือชนกับวัตถุอื่นจะระเบิดเสียงดัง เพื่อให้ควันแตกตัวออกจากพลาสติกที่เป็นทุ่นห่อหุ้ม การระเบิดดังกล่าวมีอันตรายต่อผู้ที่อยู่ใกล้จุดระเบิด เพราะการยิงต้องใช้ความเร็วสูง ประมาณ 200 ฟุตต่อวินาที 3.แก๊สน้ำตาแบบขว้าง จะมีกระเดื่องระเบิดอยู่ด้วย เมื่อใช้ต้องดึงกระเดื่องออก แล้วปาใส่พื้นที่เป้าหมายทำให้ระเบิดแล้วควันแตกตัว“จากการชมภาพข่าวการสลายการชุมนุม เห็นว่าตำรวจใช้แก๊สน้ำตาทั้ง 3 แบบ ซึ่งแบบขว้างและแบบที่ซื้อจากจีน ทำให้เกิดการบาดเจ็บสาหัส ขาและแขนขาดได้ อาการบาดเจ็บไม่ต่างจากการถูกประทัดยักษ์ระเบิดใส่มือ เท้า เพราะปืนที่ใช้ยิงแก๊สน้ำตามีความเร็วสูง เมื่อกระทบหรือชนอวัยวะใดของร่างกาย เช่น ขาหรือแขน มีอานุภาพทำให้แขน ขา หักได้ทันที เมื่อเกิดการระเบิดขึ้นจะทำให้อวัยวะที่หักอยู่แล้วขาดรุ่งริ่งได้ ทั้งนี้ ระเบิดจากแก๊สน้ำตาจะพบสะเก็ดระเบิดที่เป็นเศษพลาสติกเท่านั้น ไม่มีเศษโลหะอื่น หรือเศษแก้วปะปน”

ด้าน นพ.อธิศพันธุ์ จุลกทัพพะ อาจารย์ประจำภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ รพ.จุฬาฯ กล่าวว่า ตนเก็บปลอกแก๊สน้ำตาได้จากบริเวณที่มีการสลายการชุมนุม พบมีคำเตือนเป็นภาษาอังกฤษระบุว่า “อย่ายิงตรงตัวบุคคล เพราะจะทำให้เกิดการเสียชีวิตได้” ไม่ทราบว่าตำรวจผู้ยิงอ่านคำเตือนออกหรือไม่ขณะที่ สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ กล่าวเมื่อคืนวันที่ 13 ตุลาคม 2551 บนเวทีพันธมิตรฯ ว่า อาวุธที่ใช้ในการสลายการชุมนุม ประกอบด้วย ระเบิดสังหารแบบ M26 ปืนลูกซอง ปืนกล SKMP5 ซึ่งใช้ในการต่อสู้กับการก่อการร้ายสากล ของหน่วยอรินทราช และแก๊สน้ำตาที่ใช้ในสงคราม ที่สั่งซื้อมา 10 กว่าปี เคยยิงประชาชนในอิรักตายมาหลายคนแล้ว ซึ่งแก๊สน้ำตานี้ใครที่ถูกยิงจะทำให้อวัยวะฉีกขาดได้ทันที ดังนั้นจึงทำให้มีคนแขนขาขาดอย่างไรก็ตาม คำตอบในเรื่องของแก๊สน้ำตายังไม่ปรากฏ แต่จากการใช้งานชนิดยิงตรงๆ แบบนั้นก็น่าตั้งข้อสงสัยเหมือนกันว่า หรือเจตนาของการเข้าสลายครั้งนี้คือ ‘การฆ่า’ มิใช่การเปิดทางให้ ส.ส. อย่างที่พูดกัน?

7.ถล่มกลุ่มแพทย์และพยาบาลไม่ให้ช่วยคนเจ็บ


เมื่อประสบเหตุ ตามหลักสากลปฏิบัติ ทีมแพทย์และสื่อมวลชนต้องได้รับการคุ้มครองเป็นกรณีพิเศษในยามศึกสงคราม เพื่อให้แพทย์ทำหน้าที่รักษาทุกคนไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหน แต่เหตุการณ์วันที่ 7 ตุลา 2551น่าจะถูกบันทึกเอาไว้ได้ว่า ตำรวจไทยไม่เข้าใจเรื่องนี้และไม่สนใจเอาเลย เพราะทันทีที่หน่วยแพทย์วิ่งเข้าหาผู้บาดเจ็บ สิ่งที่ตำรวจไทยทำก็คือ การยิงกระหน่ำเข้าใส่ทั้งรถพยาบาล ทั้งเต็นท์พยาบาล รวมถึงเจ้าหน้าที่ที่โดนสะเก็ดระเบิดลูกหลงครั้งนี้อีก 7 คนเป็นอย่างน้อย ส่งผลให้กลุ่มแพทย์ 8 สถาบันออกมาเคลื่อนไหวกันทันทีในวันต่อมา ว่าจะไม่รับรักษาตำรวจที่ไม่ให้เกียรติแพทย์และทีมพยาบาล โดยตำรวจที่แต่งชุดเต็มยศมาจะถูกปฏิเสธการรักษา และต่อมาก็มีกัปตันการบินไทยประกาศบอยคอตนักการเมืองที่ร่วมฆ่าประชาชนครั้งนี้ด้วยการไม่ยอมให้นั่งเครื่องบินที่เขาเป็นคนขับ

8. ภาคประชาชนจะเปิดการเมืองใต้ดิน

บทความของ ดร. ชัยอนันต์ สมุทวณิช ใน นสพ. ผู้จัดการรายวัน ตีพิมพ์วันที่ 12 ต.ค. 2551 ได้วิเคราะห์การเมืองถึงกรณี 7 ตุลาวิปโยค โดยตั้งหัวเรื่องว่า “ลงใต้ดิน” ได้อย่างน่าสนใจ โดย อ.ชัยอนันต์ได้ให้เหตุผลความชอบธรรมของการตั้งม็อบหน้ารัฐสภา ในวันแถลงนโยบายของรัฐบาลไว้ 4 ข้อ เช่น ที่พธม.เข้าไปปิดล้อมหน้ารัฐสภา แต่ไม่ได้บุกรุกไปในบริเวณรัฐสภาเพื่อแสดงว่าไม่ยอมรับที่จะให้รัฐบาลแถลงนโยบายได้ แสดงว่า ฝ่ายพธม.ไม่ต้องการการแตกหัก-แต่ฝ่ายรัฐบาลโดยเฉพาะตำรวจกลับตัดสินใจยิงแก๊สน้ำตาผสมระเบิดถี่เกินความจำเป็น และการบาดเจ็บล้มตายของประชาชนน่าจะเกิดจากการใช้อาวุธร้ายแรงประเภทอื่น-ในระหว่างเหตุการณ์นั้น สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงแสดงความห่วงใยพระราชทานเงิน และคณะแพทย์พยาบาลมาช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ แต่ตำรวจก็ยังยิงแก๊สน้ำตาใส่ประชาชน โดยไม่เกรงในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อประชาชน หรือทำให้ตำรวจรู้สึกสำนึก และหยุดการปฏิบัติการรุนแรงต่างๆ เป็นต้น ในช่วงท้าย อ.ชัยอนันต์ได้ตั้งข้อสังเกตอีกว่า เมื่อการเคลื่อนไหวอย่างอหิงสา ภายใต้กรอบของ รัฐธรรมนูญบังเกิดผลเช่นนี้ ประชาชนอาจเคลื่อนไหวอย่างสันติเป็นครั้งสุดท้าย เป็นไปได้ว่าประชาชนจะเลือกทำการเคลื่อนไหวใต้ดินแบบปิดลับ นักการเมืองที่ฉ้อฉลอาจอยู่ในบัญชีดำ และการลอบสังหารทางการเมือง ตลอดจนการก่อความรุนแรงในรูปของการก่อวินาศกรรม อาจเกิดขึ้นเป็นระยะๆ-ไม่ต้องแปลกใจหากคุณจะเห็นภาพหรือข่าวว่ามีประชาชนมากมายวิ่งไล่ตีมอเตอร์ไซค์ตำรวจจน ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์หลายพื้นที่ต้องวิ่งหนีหูตูบกระเจิดกระเจิง-ที่นักข่าวประจำทำเนียบฯรวมถึงนักข่าวประจำการชุมนุม เมาท์กันว่าตำรวจบางนายไม่กล้าใส่เครื่องแบบตำรวจไปปฏิบัติงานภาคสนาม หรือข่าวการประกาศไม่ให้การรักษาตำรวจและนักการเมืองเลวของแพทย์ 8 สถาบันนั้นบ่งชี้ถึงความรู้สึกต่อต้านการกระทำของตำรวจได้เป็นอย่างดี-ที่สำคัญ หัวข้อบทความที่ว่า “ลงใต้ดิน” อาจจะทำให้หลายคนนึกถึง “ขบวนการไออาร์เอ” หรือกองทัพสาธารณรัฐไอร์แลนด์ ซึ่งเป็นชื่อขบวนการของชนส่วนน้อยชาวไอริช-คาทอลิก ในดินแดนตอนเหนือของเกาะไอร์แลนด์ที่ต่อสู้ด้วยอาวุธกับกองทหารอังกฤษขบวนการใต้ดินจะเกิดขึ้นเมื่อประชาชนส่วนใหญ่ไม่สามารถแสวงหาความเป็นธรรมจากฝ่ายรัฐฯ ได้ หลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 การเข้าป่าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยของชาวบ้านและปัญญาชนก็คือวิถีใต้ดินหนึ่งเช่นเดียวกัน ขณะที่ในปัจจุบันขบวนการใต้ดินเพื่อสู้กับอำนาจรัฐที่ใหญ่ที่สุดก็คือ 3 จังหวัดภาคใต้ที่ตอนนี้ยังหาความสงบไม่เจอ...หรือ 7 ตุลาคม จะเป็นการจุดชนวนระเบิดของภาคประชาชนใต้ดินกับเจ้าหน้าที่ในสมรภูมิที่กรุงเทพฯกัน ?

9. ตำรวจอ้างว่าผู้ชุมนุมพกระเบิดบึ้มตัวเอง

ภาพของ “ตี๋” - ชิงชัย อุดมเจริญกิจ ศิลปินนักวาดรูป ซึ่งอยู่ในกลุ่มแนวร่วมศิลปินประชาธิปไตย เลือดโซมกาย พวงกุญแจที่เขากำอยู่ในมือซ้ายนั้นได้รับการบิดเบือนจากตำรวจโดยการใส่ร้ายป้ายสีว่าเป็น “ระเบิด M 79” เรื่องตลกก็คือ ถ้าตี๋ถือระเบิดจริงและระเบิดลูกนั้นก็บึ้มไปแล้ว แล้วเขายังจะมีมือมาถือระเบิดอีกลูกอยู่ได้ยังไง กรณีของศิลปินที่ถูกปั้นเรื่องอันเป็นเท็จเพื่อปัดความรับผิดชอบนี้แสดงถึงฝีมือของการหาแพะโดยตำรวจไทยว่าเก่งที่สุดในโลกทีเดียวเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ กวีรัตนโกสินทร์ กล่าวว่า เป็นการใส่ร้ายป้ายสีประชาชนมือเปล่าที่เกิดขึ้นซ้ำเหมือนเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516, 6 ตุลาคม 2519 และ 17 พฤษภาคม 2535 นอกจากนี้ กลุ่มแนวร่วมศิลปินประชาธิปไตย ยังจะจัดนิทรรศการศิลปะและดนตรีเพื่อช่วยเหลือนายตี๋ - ชิงชัย อุดมเจริญกิจ เร็วๆ นี้ไม่เฉพาะแต่ “ตี๋” - ชิงชัย อุดมเจริญกิจ ทางฝ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจยังมีข้อสรุปว่า ฝ่ายพันธมิตรฯ ได้นำระเบิดมาร่วมชุมนุมและส่งผลให้ผู้ชุมนุมที่ต้องบาดเจ็บสาหัส แขนขาด ขาขาด หรือกระทั่งเสียชีวิตนั้น ล่าสุด นพ.ดิเรก ภาคกุล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลบางคล้า ออกมาให้สัมภาษณ์กรณีนี้ว่า ในมือที่คนเจ็บถืออยู่นั้นเป็นพวงกุญแจหนังสีออกน้ำตาล นอกจากนี้ ทาง รพ.รามาธิบดี ที่รับตัวคุณตี๋ได้ยืนยันเช่นเดียวกัน
10.ฤทธิ์มือตบอาละวาดไปทั่ว !!

มือตบได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นธรรมและอารมณ์ของประชาชนไปโดยปริยาย ถือเป็นครั้งแรกในเมืองไทยที่มีสัญลักษณ์อย่างเป็นทางการ ที่สำคัญประชาชนไม่กลัวที่จะตบใส่เหล่าทรราช และคนที่เปิดให้มีการฆ่าประชาชน ไม่ว่าจะเป็น พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติก็โดน พร้อมตะโกนว่า " พัชรวาท ไอ้ฆาตกร ตำรวจฆ่าประชาชน ออกไป" หลังจากที่ลากหน้าหนาๆ ของตัวเองไปในการพระราชทานเพลิงศพน้องโบว์ ทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นคนเขียนใบสั่งตายให้น้องโบว์ด้วยตนเองเช่นเดียวกับ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ที่ในวันนองเลือดไปยืนเคียงข้างทรราชสมชาย และไม่มีปฏิกิริยาตอบรับ – ปฏิเสธใดๆ กับการที่ประชาชนถูกทำร้ายจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ “การไม่ปฏิเสธคือการยอมรับ” ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ได้ถูกประชาชนชูมือตบขึ้นมาเขย่าไล่ พร้อมตะโกนถามว่า "ทหารยังอยู่ข้างประชาชนหรือเปล่า ยังทนไหวอีกเหรอที่ต้องเห็นประชาชนเป็นอย่างนี้

ภาพ พ.ต.อ.ลือชัย สุดยอด กำลังขว้างระเบิดใส่กลุ่มผู้ชุมนุมจากหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์



หมาลอบกัด 20 พย. ตี 3 กว่าฯ

ผู้จัดการออนไลน์ – แหล่งข่าวหน่วยข่าวกรองทหารบกเผย “นายพลคนดัง” นัดประชุมลูกน้องนับสิบที่เซ็นทรัล ปิ่นเกล้า ก่อนลงมือเมื่อคืนที่ผ่านมา ใช้ “จ่าหลิม-จ่าเทพ” เป็นทีมงาน ยืนยันผู้บังคับบัญชาทราบแล้ว แต่ก็ปล่อยให้เกิดเหตุสลดอีก “พล.อ.ปฐมพงษ์” ยืนยันระเบิด M-79 ชี้คนยิงต้องเชี่ยวชาญรายงานจากหน่วยข่าวกรองทหารบก แจ้งว่า ก่อนหน้าเกิดเหตุระเบิดในทำเนียบรัฐบาลในช่วงประมาณ 03.00 น. ช่วงเช้ามืดของวันที่ 20 พ.ย. ชุดปฏิบัติการของ “นายพลคนดัง” ที่ข่มขู่ลอบทำร้ายพันธมิตรฯ ด้วยอาวุธสงคราม ได้นัดประชุมวางแผนพร้อมกับชายฉกรรจ์ตัดผมเกรียนกว่า 10 นาย ที่ร้านกาแฟชื่อดังในศูนย์การค้าเซ็นทรัล ปิ่นเกล้าโดยนายพลคนดังมอบหมายให้ “จ่าหลิม” หรือ “จ่าหลิว” เป็นหัวหน้าชุดยิงระเบิด M-79 สำหรับจ่าหลิม อายุประมาณ 50 ปี รูปร่างท้วมเตี้ย เป็นทหารติดตามนายพลคนดัง ทำหน้าที่ขับขับรถเบนซ์ วีโต้ สีเทา-ดำ พาหนะของนายพลคนดัง ปัจจุบันจ่าหลิมรับราชการสังกัดหน่วยทหารย่านเกียกกายส่วนชุดเก็บซ่อนอาวุธสงคราม นำโดยทหารระดับ ผบ.ร้อย ยศร้อยเอก สังกัดหน่วยทหารยานเกราะ ใบหน้ามีรอยบาก สังเกตได้ชัดเจน ทำงานรับจ้างคุ้มครองผับชื่อดังย่านซอยทองหล่อ 21 ทำหน้าที่ซุกซ่อนอาวุธสงครามที่ทำร้ายพันธมิตรฯ ไว้ในหน่วยทหารสำหรับชุดก่อกวนด้วยวัตถุระเบิด นำโดย “จ่าเทพ” ทหารนอกราชการ บุคลิกหน้าตาแบบคนไทยแท้โบราณ โดยมีทหารบกยศจ่าจากจังหวัดจันทบุรีร่วมเป็นทีมงาน ทั้งนี้ ก่อนเกิดเหตุระเบิด หน่วยข่าวกรองทหารบกได้รายงานข้อมูลดังกล่าวไปให้ผู้บังคับบัญชาทราบแล้วเพื่อหามาตรการป้องกัน แต่ก็ยังเกิดเหตุระเบิดขึ้นอีกด้าน พล.อ.ปฐมพงษ์ เกษรศุกร์ อดีตประธานที่ปรึกษาคณะกรรมการกองบัญชาการทหารสูงสุด และที่ปรึกษาด้านความปลอดภัยของกลุ่มพันธมิตรฯ ได้กล่าวบนเวทีทำเนียบรัฐบาลในช่วง 13.15 น.ที่ผ่านมา โดยยืนยันว่าจากการตรวจสอบแล้วยืนยันว่าเป็นระเบิดชนิด M-79 อย่างแน่นอน และการยิงจะต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญปฏิบัติการพร้อมกัน 2 คน


ประมวลเหตุการณ์ “ลิ่วล้อสัตว์นรก” สุดป่าเถื่อน

ลอบทำร้าย-ก่อกวนการชุมนุมพันธมิตรฯ แบบรายวัน ตลอดเวลา 1 เดือนที่ผ่านมา ทั้งวางระเบิด-ยิงปืนขู่ นับครั้งไม่ถ้วน ล่าสุดถึงขั้นมีผู้สังเวยชีวิต 1 ราย บาดเจ็บอีกหลายสิบ ขณะที่ตำรวจไม่สามารถติดตามตัวคนร้ายได้แม้แต่คนเดียวปรากฏการณ์ที่รัฐบาลนอมินี ปล่อยให้กลุ่มอันธพาลใช้ความรุนแรงป่าเถื่อนก่อกวน-ทำลายการเคลื่อนไหวของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เริ่มมาตั้งแต่การจัดสัมมนาที่หอประชุมมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

เมื่อวันที่ 28 มีนาคม และวันที่ 25 เมษายน 2551 มาจนถึงการชุมนุมต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม ก่อนที่จะเคลื่อนมายังสะพานมัฆวานรังสรรค์ โดยใช้กลุ่ม นปช.ขว้างปาก้อนอิฐ ถุงอุจจาระ ยิงหนังสติ๊กลูกแก้ว-นอตเข้าใส่ แม้กระทั่งใช้ไม้หน้าสามไล่ทุบตี โดยที่ตำรวจได้แต่มองตาปริบๆหลังจากนั้น ตลอดช่วงที่พันธมิตรฯ เปลี่ยนสถานที่ชุมนุมจากสะพานมัฆวานฯ ไปยังหน้าทำเนียบ กลับมาที่สะพานมัฆวานฯ อีกครั้ง และย้อนไปยึดพื้นที่ภายในทำเนียบ รัฐบาลนอมินีได้หันมาใช้มาตรการทางกฎหมายสลับกับความป่าเถื่อนรุนแรงเพื่อยับยั้งการชุมนุมของพันธมิตรฯ ให้ได้
โดยความป่าเถื่อนได้ทะลักขีดสุดในวันที่ 7 ตุลาคม เมื่อตำรวจระดมยิงระเบิดแก๊สน้ำตาเข้าใส่พันธมิตรฯ ที่ขยายการชุมนุมไปที่หน้ารัฐสภา เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 2 คน บาดเจ็บ 471 คน และทำให้ภาพลักษณ์ของรัฐบาลตกต่ำอย่างหนัก ซ้ำถูกสอบสวนเอาผิดโดย ป.ป.ช.และถูกประชาชนที่ตกเป็นเหยื่อความรุนแรงฟ้องร้องดำเนินคดีซ้ำหลังจากนั้น ฝ่ายรัฐบาลได้ใช้วิธีการนอกเกมเข้ามาก่อกวน-ทำลายการชุมนุมของพันธมิตรฯ ในลักษณะลับ ลวง พราง โดยที่ไม่สามารถระบุได้ว่าใครเป็นคนกระทำ ขณะที่บางครั้งก็ออกข่าวในทำนองว่าพันธมิตรฯ สร้างสถานการณ์เอง ซึ่งได้ผล 2 ด้าน ทั้งในแง่การข่มขู่พันธมิตรฯ และทำลายความน่าเชื่อถือของพันธมิตรฯ ไปในตัว ขณะที่ตำรวจไม่กระตือรือร้นที่จะติดตามหาตัวคนร้ายมาดำเนินคดีแต่อย่างใดปรากฏการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นอย่างถี่ยิบ นับตั้งแต่พันธมิตรฯ ได้รื้อเวทีปราศรัย บริเวณสะพานมัฆวาน เมื่อวันที่ 22 ต.ค. เพื่อเปิดเส้นทางให้กับพิธีถวายสักการะสมเด็จพระปิยมหาราช


ในวันที่ 23 ตุลาคม ซึ่งคนร้ายได้ฉวยโอกาสจากการที่เวทีปราศรัยที่ถือเป็นแนวกั้นอย่างดี ถูกรื้ออกไป เข้ามาก่อกวนทันที ตั้งแต่ ช่วงบ่าย วันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2551 วันแรกของการเปิดเส้นทางจราจรบริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ ขณะที่การ์ดพันธมิตรฯ กำลังรื้อเต็นท์ ได้มีคนร้ายขว้างประทัดยักษ์ออกจากรถตู้สีขาวเข้าใส่ เสียงดังสนั่นหวั่นไหว แม้ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือสร้างความเสียหาย แต่ถือเป็นการข่มขู่ หลังจากมีการเปิดพื้นที่ให้ฝ่ายตรงข้ามเข้าประชิดตัวได้ง่ายขึ้น

วันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ.2551 เวลา 03.20 น.คนร้ายขว้างระเบิดเอ็ม 79 เข้าใส่การ์ดพันธมิตรฯ ที่สะพานมัฆวาน ทำให้การ์ดได้รับบาดเจ็บประมาณ 10 คน บาดเจ็บรุนแรงต้องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลวชิระ 6 คน บาดเจ็บสาหัส 2 คน และจนถึงขณะนี้ยังคงอยู่ในห้องไอซียู 1 คน และในเวลาไล่เลี่ยกัน คนร้ายได้ปีนแนวกั้นของตำรวจด้านหลังกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) แล้วยิงปืนเข้าใส่การ์ดพันธมิตรฯ บริเวณใกล้สี่แยกมิสกวัน จนต้องมีการตอบโต้ และในตอนเช้าพบชายชุดดำนอนเสียชีวิตอยู่ข้างกำแพง บชน. โดยในวันเดียวกันนั้นคนร้ายได้ปาระบาดเข้าใส่บ้านนายจรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการรัฐธรรมนูญด้วย

วันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ.2551 เวลาประมาณ 02.00 น.คนร้ายนั่งรถเบนซ์สีดำ ทะเบียน 4444 โยนระเบิดควันใกล้สะพานมัฆวานฯ แต่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ ซึ่งตำรวจอ้างว่าเป็นแค่ประทัดเล็กๆไม่มีการปาระเบิด และเชื่อว่าเป็นการก่อกวนวันที่ 2 พฤศจิกายน 2551 เวลาประมาณ 02.00 น.กลุ่มวัยรุ่นจำนวน 5 คน ขับรถเก๋งเข้ามายังบริเวณสะพานมัฆวาน และชูนิ้วกลางให้การ์ดพันธมิตรฯ แล้วยิงปืนเข้าใส่ หลังจากนั้นพยายามขับรถหนีแต่ถูกสกัดจับไว้ได้

วันที่ 4 พฤศจิกายน 2551 เวลาประมาณ 02.00 น.มีเสียงระเบิดบริเวณเชิงสะพานอรทัย ห่างจากแผงเหล็กกั้นบริเวณชุมนุมของพันธมิตรฯ เพียง 3 เมตร แรงระเบิดทำให้พื้นถนนเป็นหลุมลึก 2.5 เซนติเมตร ขวดน้ำแตกกระจาย มีรอยสะเก็ดระเบิดที่ต้นไม้และกระสอบทราย เบื้องต้นคาดว่าน่าจะเป็นการยิงระเบิดจากด้านนอก เพราะบริเวณเกิดเหตุไม่มีผู้ใดเห็นผู้ต้องสงสัยแต่อย่างใดทั้งนี้ จากเหตุการณ์ที่ถูกก่อกวน และลอบทำร้ายมาอย่างต่อเนื่อง โดยที่เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่สามารถติดตามจับกุมคนร้ายได้แม้แต่คนเดียว (อ่านข่าว ตำรวจยังมึน เหตุคนร้ายปาระเบิดใส่พันธมิตรฯ) ขณะที่นายทหารนอกแถวบางคนยังข่มขู่จะมีการยิงระเบิดเข้าใส่ที่ชุมนุมพันธมิตรฯ อยู่ทุกวัน

วันที่ 7 พ.ย. เวลาประมาณ 01.00 น. เกิดเหตุระเบิดขึ้น 2 ครั้ง บริเวณเชิงสะพานมัฆวานรังสรรค์ ด้านฝั่งหน้าตึกอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ และบริเวณถนนเรียบคลองผดุงกรุงเกษม ด้านข้างรั้วกระทรวงศึกษาธิการในเวลาไล่เลี่ยกัน ขณะเกิดเหตุระเบิดมีกลุ่มควันสีขาวขนาดใหญ่และมีเสียงดังทั่วบริเวณเสียงคล้ายประทัดยักษ์ ภายหลังจากการ์ดอาสาพันธมิตรฯ ได้เข้าตรวจสอบพื้นที่ ไม่พบเห็นความเสียหาย กลุ่มคนร้าย หรือสะเก็ดระเบิดแต่อย่างใด เชื่อว่าน่าจะเป็นฝีมือของกลุ่มบุคคลที่ไม่หวังดี และต้องการสร้างสถานการณ์ก่อกวนการชุมนุมของพันธมิตรเท่านั้นต่อมาเวลาประมาณ 04.00 น.มีเสียงปืนดังขึ้นหลายนัด บริเวณถนนข้างสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ติดกับโรงเรียนเบญจมบพิตร เมื่อการ์ดพันธมิตรฯ เข้าตรวจสอบบริเวณจุดเกิดเหตุ ไม่มีผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต รวมไปถึงไม่พบร่องรอยวัตถุที่คนร้ายใช้ทำระเบิดแต่อย่างใด ขณะที่จากการสอบถามผู้เห็นเหตุการณ์ เปิดเผยว่า หลังเกิดเหตุเห็นชายต้องสงสัยวิ่งหนีขึ้นรถจักรยานยนต์แบบผู้หญิงไม่ทราบแผ่นป้ายทะเบียนหลบหนีไปต่อมามีเสียงปืนดังขึ้น 2-3 นัด บริเวณถนนอีกด้านของคลองตรงข้ามกับ สำนักงาน ป.ป.ช. ซึ่งอยู่ใกล้กับจุดเกิดเหตุเดิม โดยการ์ดพันธมิตรฯได้ตะโกนให้ทุกคนหมอบลง ขณะผู้สื่อข่าววิ่งหนีหลบเข้าไปภายใน ป.ป.ช.ทั้งนี้ เสียงที่ได้ยินคล้ายเสียงปืนและระเบิด ยังไม่ทราบว่าเป็นฝีมือของกลุ่มใด

วันที่ 8 พ.ย. 51 เวลาประมาณ 04.40 น. คนร้ายปาระเบิดเข้าใส่เต็นท์นอนนักรบอิสระ 9 ในที่ชุมนุมของพันธมิตรฯบริเวณสนามหญ้าหน้าตึกสันติไมตรี เยื้องเวทีปราศรัยประมาณ 250 เมตร แรงระเบิดทำให้เกิดหลุมลึกประมาณ 10 ซม. กว้าง 20 ซม. มีผู้บาดเจ็บ 1 ราย คือนายเมธี อู่ทอง มีบาดแผลบริเวณหน้าผากด้านซ้าย และบริเวณหน้าอก ถูกส่งตัวไปรักษาตัวต่อที่ รพ.วชิระพยาบาลและย้ายไปที่ รพ.จุฬาลงกรณ์ การ์ดของกลุ่มพันธมิตรฯ ผู้เห็นเห็นเหตุการณ์บอกว่า เห็นกลุ่มควันก่อนมีเสียงระเบิดดังขึ้นที่เต็นท์ดังกล่าว แต่เนื่องจากจุดที่เกิดเหตุและบริเวณใกล้เคียงค่อนข้างมืด ทำให้ไม่เห็นตัวคนร้ายว่าขว้างระเบิดมาจากจุดใด ขณะที่การสอบสวนของตำรวจยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ

วันที่ 11 พ.ย. เวลาประมาณ 03.25 น. เกิดเหตุระเบิดขึ้นที่บริเวณเต็นท์พันธมิตรฯ ห่างจากเวทีปราศรัย เยื้องไปทางขวามือเพียง 50 เมตร จากการตรวจสอบเบื้องต้นคาดว่าคนร้ายน่าขว้างระเบิดเข้ามา แล้วตกบนหลังคาเต็นท์ของผู้ชุมนุมก่อนเกิดการระเบิด โดยภายหลังจาการระเบิด ส่งผลให้เต็นท์มีรู้กว้างขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 เมตร มีผู้บาดเจ็บเล็กน้อย 3 ราย เป็นที่น่าสังเกตว่าจุดระเบิด อยู่ในแนวเดียวกันกับเหตุระเบิดเมื่อวันที่ 4 พ.ย. โดยขยับเข้าใกล้เวทีปราศรัยเพียง 50 เมตรเท่านั้น เหตุการณ์ครั้งนี้การ์ดพันธมิตรฯ จับผู้ต้องสงสัยได้ 1 คน และมอบให้ตำรวจ สน.ดุสิตนำตัวไปสอบสวนพล.อ.ปฐมพงษ์ เกษรศุกร์ อดีตประธานคณะที่ปรึกษากองบัญชาการกองทัพไทย กล่าวว่า ลักษณะของระเบิดน่าจะเป็นเครื่องยิงระเบิดวิถีโค้ง โดยมีระยะยิง 150 เมตร ซึ่งถูกยิงมาตกลงกลางหลังคาเต็นท์ โดยระเบิดลูกดังกล่าวตกลงมาตรงที่มีคนนอนยู่พอดี แต่โชคดีที่ตกมาบนหลังคาเต็นท์เสียก่อนทำให้มีผู้บาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และจากการสอบถามคนที่เห็นเหตุการณ์ จึงพอสรุปได้ว่าระเบิดลูกดังกล่าวสามารถทำอันตรายจนถึงชีวิตได้ขณะที่ พล.ต.ต.สุพร พันธุ์เสือ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ฐานะโฆษกกองบัญชาการตำรวจนครบาล อ้างว่าไม่ใช่ระเบิดเอ็ม 29 และไม่ใช่การยิงจากรอบนอกเข้ามา แต่เป็นการระเบิดขึ้นจากภายใน ส่วนจะเป็นระเบิดเอ็ม 79 หรือไม่นั้นคงเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากอานุภาพทำลายล้างต้องมากกว่า นอกจากนั้นยังอ้างว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่ได้เข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ เนื่องจากพันธมิตรฯ ยังไม่อนุญาตให้เข้าไปภายใน ส่วนกรณีที่ตำรวจสามารถจับกุมผู้ต้องสงสัยได้ 1 คนนั้น จากการสอบสวนพบว่าไม่น่ามีส่วนเกี่ยวข้องจึงปล่อยตัวไป และไม่สามารถตอบได้ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นการสร้างสถานการณ์ของกลุ่มพันธมิตรฯ หรือไม่ล่าสุด

วันที่ 20 พฤศจิกายน 2551 เวลา 03.25 น. คนร้ายยิงระเบิดเอ็ม 79 เข้าใส่เต็นท์ของผู้ชุมนุมในทำเนียบรัฐบาลก่อนเกิดการระเบิดขึ้น ทำให้เต็นท์มีรู้กว้างขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 20 ซม. จุดเกิดเหตุอยู่ห่างจากเวทีปราศรัยเพียงแค่ 15 เมตร ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บทันที จำนวน 23 ราย อาการสาหัส 2 ราย และเสียชีวิต 1 รายในเวลาต่อมา คือ นายเจนกิจ กลัดสาคร ชาวจังหวัดชลบุรี ในจำนวนผู้บาดเจ็บมีช่างภาพของ ASTV คือนายนพพร สุขราม รวมอยู่ด้วยโดยสรุปเหตุการณ์ลอบทำร้ายพันธมิตรฯ ด้วยการขว้างและยิงระเบิด ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่กลางเดือนตุลาคมที่ผ่านมานั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่สามารถจับกุมผู้กระทำความผิดได้ อีกทั้งยังปล่อยให้มีการก่อเหตุอย่างสะดวก ก่อนที่จะออกมาให้สัมภาษณ์ในภายหลังในลักษณะกล่าวหาว่าพันธมิตรฯ เป็นผู้สร้างสถานการณ์ แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจเองกลับไม่ได้มีการสอบสวนหรือดำเนินการติดตามหาตัวผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดีแต่อย่างใดนอกจากนี้ หลังเกิดเหตุแทบทุกครั้ง พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก ที่ออกมาเคลื่อนไหวร่วมกับกลุ่มผู้รับใช้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในนาม นปช.ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ในลักษณะข่มขู่ว่าจะมีการยิงระเบิดร้ายแรงเข้าไปในทำเนียบรัฐบาล จนกว่าพันธมิตรฯ จะออกจากทำเนียบ แต่ตำรวจกลับไม่ได้มีการนำตัว เสธ.แดงมาสอบสวนหาเบาะแสผู้กระทผิด หรือส่งสายสืบไปติดตามพฤติกรรมของ เสธ.แดง แต่อย่างใด