9 พฤษภาคม 2552

ฆ่าประชาชน”- 10 เรื่อง พบที่เมืองไทยเท่านั้น !!

โดย ผู้จัดการออนไลน์
18 ตุลาคม 2551 11:46 น.


ความอำมหิตที่เกิดขึ้นตั้งแต่เช้าตรู่ของวันที่ 7 ตุลาคม 2551 หน้ารัฐสภาและบริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า น่าจะถูกจารึกให้กลายเป็นวันที่ตำรวจเข่นฆ่า เด็ก สตรี และคนชราอย่างโหดเหี้ยมที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ชาติไทย อย่างไรก็ตาม วันมหาโหดนั้นยังมีเหตุการณ์ Amazing ที่น่าจะเป็นครั้งแรกในโลกที่น่าบันทึกเอาไว้ด้วย

Metro Life ขอหยิบเรื่องราวต่างๆ มาบันทึกให้ลูกหลานได้จดจำกัน

1. รัฐบาลยังไม่เคยได้เหยียบทำเนียบ

คณะรัฐบาลของ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ถ้าเป็นพ่อค้า แม่ค้า ก็เป็นประเภท “หาบเร่ แผงลอย” ถ้าเป็นพวกอมนุษย์ก็เปรียบได้กับ “ผีผ่านวิญญาณจร” หาที่พักพิงเป็นหลักแหล่งไม่ได้ ตั้งแต่ที่ได้รับการโปรดเกล้าฯ เมื่อ18 กันยายน 2551 ยังไม่ได้เข้าทำเนียบรัฐบาลเพื่อบริหารงานแผ่นดิน ปัจจุบัน เป็นรัฐบาลชุดเดียวในประเทศไทยที่ระหกระเหินเร่ร่อนไปใช้กองทัพอากาศ บน.6 เป็นทำเนียบรัฐบาล


2. รัฐบาลแถลงนโยบายท่ามกลางเลือดและเสียงระเบิด

นับว่าครึกครื้นอย่างยิ่งกับการแถลงนโยบายของรัฐบาลนายสมชาย เพราะขณะที่ตำรวจเปิดฉากฆ่าผู้ชุมนุมเพื่อเปิดทางให้เจ้าหน้าที่รัฐสภา, ส.ส. ฝ่ายรัฐบาล และสมาชิกวุฒิสภาฟากรัฐเข้าประชุมเพื่อรับฟัง สมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อรัฐสภาอย่างไม่ยี่หระ เป็นการแถลงนโยบายท่ามกลางสถานการณ์ความวุ่นวาย และการเสียเลือด เสียเนื้อและชีวิตของประชาชนภายนอก ในที่ประชุมสภาฯ วันนั้น รสนา โตสิตระกูล ส.ว.ได้ลุกขึ้นประท้วงการแถลงนโยบาย แต่ถูก ส.ส. พรรคพลังประชาชนชี้หน้าด่าทอ และถูกเชิญให้ออกจากที่ประชุม เรื่องที่น่าบันทึกไว้อีกก็คือ การแถลงนี้จบในเวลา 3 ชั่วโมงจากที่กำหนดไว้ 3 วัน แถมการออกจากสภาของนายกฯ ก็ยังต้องออกโดยปีนรั้วไปขึ้นเฮลิคอปเตอร์ ขณะที่ประธานสภาอย่างนายชัย ชิดชอบก็ต้องปีนรั้วหนีเหมือนกัน


3. รัฐบาลด้าน “ ไม่ยุบ – ไม่ออก “
แม้จะมีหลายองค์กร, หน่วยงาน ที่ต้องการให้รัฐบาลแสดงความรับผิดชอบต่อกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 จนส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 2 คน และบาดเจ็บถึง 443 คนวันที่ 12 ตุลาคม 2551เวลา 20.30 น. สมชาย วงศ์สวัสดิ์ แถลงข่าว ใช้เวลาเพียง 10 นาทีเศษ ใช้ตะแกรงร่อนคำพูดแล้วก็ไม่พบสาระใดๆ และไม่มีแม้แต่คำว่า “ขอโทษ” ต่อหน้าประชาชน แถมแสดงจุดยืนเพื่อจะขอทำเนียบฯคืนจากกลุ่มพันธมิตรฯ อีกต่างหาก ท่าทีเช่นนี้ของนายสมชายถูกคนที่รักความเป็นธรรมในประเทศไทยยกให้เป็นทรราชหน้าใหม่ที่เข้าดำรงตำแหน่งนี้เร็วที่สุด นั่นคือ ไม่ถึงเดือนดี ขณะที่ทรราชคนก่อนหน้านั้นใช้เวลาสะสมความเป็นทรราชยยู่ อย่างต่ำก็ 2 เดือน

4.ตำรวจยิงแก๊สน้ำตา “วิถีตรง”เพื่อสลายการชุมนุม

มาตรการสลายการชุมนุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจจะต้องเริ่มจากมาตรการ “เบาไปหาหนัก” เช่น เจรจา --- เตือน --- แจ้งผู้ชุมนุมล่วงหน้าว่าจะมีการสลายการชุมนุม --- ใช้โล่ กระบอง ผลักดันผู้ชุมนุม --- ใช้รถฉีดน้ำ --- ใช้แก๊สน้ำตา --- ฯลฯ เป็นต้น การสลายการชุมนุม เช่น วันที่ 29 สิงหาคม, แต่ในวันที่ 7 ตุลาคม ล้วนผิดจากหลักสากลปฏิบัติทั้งสิ้น เพราะไม่มีการแจ้งเตือน ไม่มีรถน้ำมาฉีด (ตำรวจอ้างว่า กทม.ไม่ให้รถน้ำ) เมื่อเดินมาถึงก็ยิงกันอย่างตรงๆ ใส่คน ตามด้วยระเบิดที่ไม่ทราบชนิด ปาใส่ผู้ชุมนุมทันที การยิงใส่โดยตรงและปาระเบิดยังกับในหนังสงครามนี้ ตำรวจได้แก่ พลตำรวจตรีอำนวย นิ่มมะโน ออกมาระบุว่า เป็นหลักวิธีปฏิบัติแบบสากล ส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ แขน – ขาขาด และเสียชีวิตทันที ขณะที่สากลปฏิบัติที่ใช้กันทั่วโลกคือ การยิงขึ้นฟ้า หรือยิงในวิถีโค้ง หลีกเลี่ยงที่จะปะทะกับฝูงชน นอกจากนี้ข้อมูลตำรวจที่ให้ยังไม่ตรงกันสักวันเดียว เพราะขณะที่อ้างว่าแก๊สน้ำตาที่ระเบิดฉีกเนื้อผู้คนนั้นเป็นระเบิดจากจีน แต่อีกฝั่งของตำรวจบอกว่า มันไม่มีระเบิดชนิดนี้อยู่ในคลังตั้งแต่ปี 38 แล้ว

5. สเปเชียลเอฟเฟกต์ยอดเยี่ยมแห่งปี !?

หลังเหตุการณ์นี้ ขบวนการสารเลว ปั้นเรื่อง ปั้นกระทู้ กล่าวเท็จในเวบบอร์ดต่างๆ อาทิ ห้องราชดำเนิน ในพันทิป ดอตคอม เพื่อสร้างกระแสว่าพันธมิตรฯ ได้นำคนแขนขาดขาด้วน ซึ่งมีอาชีพขายสลากกินแบ่งรัฐบาลมาจัดฉากแต่งให้เหมือนราวกับสเปเชียลเอฟเฟกต์ ในภาพยนตร์ หรือแม้แต่ระเบิด แก๊สน้ำตา พันธมิตรฯ ได้นำมาเอง เกิดการดันในคลื่นฝูงชนจนเป็นเหตุให้เกิดระเบิดในกลุ่มพวกเดียวกัน แล้วป้ายสี ใส่ร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจความใจร้ายยังลามไปถึงกรณีน้องโบว์ น.ส.อังขณา ระดับปัญญาวุฒิ อายุ 27 ปี เพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจระบุว่า ผู้ตายหนีบระเบิดมาเองแล้วเกิดระเบิดขึ้น ค้านกับการชันสูตรของแพทย์ที่ระบุถึงสาเหตุการเสียชีวิตว่า หัวใจทะลุและเลือดออกในช่องปอด ลักษณะของบาดแผลเกิดจากถูกของแข็งที่มีความร้อนเข้าปะทะด้วยความเร็วสูง โดยความเร็วและความแรงเปรียบเทียบได้เท่ากับแรงกระแทกของการตกตึก 3 ชั้น และยังพบคราบเขม่ารวมทั้งรอยไหม้ทั่วบริเวณร่างกาย เชื่อว่าแผลฉีดขาดในระดับนี้ต้องไม่ใช่แก๊สน้ำตาอย่างแน่นอน

6. ตำรวจโกหกหน้าตาย !?

รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และรองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล พูดเสมอว่า หากกระสุนกระทบร่างกายจะเกิดอาการปวดแสบปวดร้อน แต่ไม่มีอานุภาพทำลายล้าง และไม่ก่อให้เกิดบาดแผล อย่างไรก็ดีหลายคนยังสงสัยว่า ถ้าแก๊สน้ำตาฆ่าคนไม่ได้ แล้วระเบิดอะไรกันที่ทำให้คนขาด้วนทันที 4 คนหน้าบช.น.เมื่อถูกซักถึงเรื่องนี้ ข้อที่ตำรวจอ้างมาง่ายๆ อย่างชวนหัวก็คือ เป็นผลงานของมือที่ 3 !! เป็นมือที่ 3 ที่มีรูปร่างหน้าตา และชุดเหมือนตำรวจเป๊ะๆต่อมานอกจากอ้างเรื่องมือที่ 3 แล้ว พลตำรวจตรี อำนวย นิ่มมะโน รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ยังกล่าวว่า นอกจากแก๊สน้ำตาแล้ว ตำรวจใช้อุปกรณ์อื่นลักษณะคล้ายระเบิดมือลูกเกลี้ยงก็คือ แก๊สน้ำตาแบบขว้าง ซึ่งเป็นการใช้ในระยะประชิดตัว หลังแถลงข่าวมีการทดลองปาใส่หุ่น ที่มณฑลทหารบกที่ 11 เป็นการยิงแก๊สน้ำตารวม 6 ลูก หลากรูปแบบ เข้ากระสอบทราย , หุ่น และขว้างลงกับพื้น จนคนที่ดูต้องขำว่าถ้าไม่เป็นอันตรายทำไมไม่เอาตำรวจไปยืนรับลูกระเบิดตรงๆ แบบที่ยิงใส่ประชาชน


ข้อมูลตามน้ำในอีกวันจาก พล.ต.ท.อัมพร จารุจินดา อดีตผู้บัญชาการสำนักงานนิติวิทยาศาสตร์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า แก๊สน้ำตาที่ใช้มี 3 แบบ คือ 1.รุ่นที่สั่งซื้อจากสหรัฐฯ ราคาแพง เมื่อยิงจะไม่มีการระเบิด ไม่มีลูกไฟ มีเพียงควันซึมออกมาเท่านั้น เป็นชนิดเดียวกับที่ตำรวจสาธิตให้สื่อมวลชนดู 2.รุ่นที่สั่งซื้อจากประเทศจีน ราคาถูก มีความยาว 6 นิ้ว เส้นผ่าศูนย์กลาง 38 มิลลิเมตร น้ำหนัก 2 ขีด เมื่อยิงออกไปและตกกระทบ หรือชนกับวัตถุอื่นจะระเบิดเสียงดัง เพื่อให้ควันแตกตัวออกจากพลาสติกที่เป็นทุ่นห่อหุ้ม การระเบิดดังกล่าวมีอันตรายต่อผู้ที่อยู่ใกล้จุดระเบิด เพราะการยิงต้องใช้ความเร็วสูง ประมาณ 200 ฟุตต่อวินาที 3.แก๊สน้ำตาแบบขว้าง จะมีกระเดื่องระเบิดอยู่ด้วย เมื่อใช้ต้องดึงกระเดื่องออก แล้วปาใส่พื้นที่เป้าหมายทำให้ระเบิดแล้วควันแตกตัว“จากการชมภาพข่าวการสลายการชุมนุม เห็นว่าตำรวจใช้แก๊สน้ำตาทั้ง 3 แบบ ซึ่งแบบขว้างและแบบที่ซื้อจากจีน ทำให้เกิดการบาดเจ็บสาหัส ขาและแขนขาดได้ อาการบาดเจ็บไม่ต่างจากการถูกประทัดยักษ์ระเบิดใส่มือ เท้า เพราะปืนที่ใช้ยิงแก๊สน้ำตามีความเร็วสูง เมื่อกระทบหรือชนอวัยวะใดของร่างกาย เช่น ขาหรือแขน มีอานุภาพทำให้แขน ขา หักได้ทันที เมื่อเกิดการระเบิดขึ้นจะทำให้อวัยวะที่หักอยู่แล้วขาดรุ่งริ่งได้ ทั้งนี้ ระเบิดจากแก๊สน้ำตาจะพบสะเก็ดระเบิดที่เป็นเศษพลาสติกเท่านั้น ไม่มีเศษโลหะอื่น หรือเศษแก้วปะปน”

ด้าน นพ.อธิศพันธุ์ จุลกทัพพะ อาจารย์ประจำภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ รพ.จุฬาฯ กล่าวว่า ตนเก็บปลอกแก๊สน้ำตาได้จากบริเวณที่มีการสลายการชุมนุม พบมีคำเตือนเป็นภาษาอังกฤษระบุว่า “อย่ายิงตรงตัวบุคคล เพราะจะทำให้เกิดการเสียชีวิตได้” ไม่ทราบว่าตำรวจผู้ยิงอ่านคำเตือนออกหรือไม่ขณะที่ สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ กล่าวเมื่อคืนวันที่ 13 ตุลาคม 2551 บนเวทีพันธมิตรฯ ว่า อาวุธที่ใช้ในการสลายการชุมนุม ประกอบด้วย ระเบิดสังหารแบบ M26 ปืนลูกซอง ปืนกล SKMP5 ซึ่งใช้ในการต่อสู้กับการก่อการร้ายสากล ของหน่วยอรินทราช และแก๊สน้ำตาที่ใช้ในสงคราม ที่สั่งซื้อมา 10 กว่าปี เคยยิงประชาชนในอิรักตายมาหลายคนแล้ว ซึ่งแก๊สน้ำตานี้ใครที่ถูกยิงจะทำให้อวัยวะฉีกขาดได้ทันที ดังนั้นจึงทำให้มีคนแขนขาขาดอย่างไรก็ตาม คำตอบในเรื่องของแก๊สน้ำตายังไม่ปรากฏ แต่จากการใช้งานชนิดยิงตรงๆ แบบนั้นก็น่าตั้งข้อสงสัยเหมือนกันว่า หรือเจตนาของการเข้าสลายครั้งนี้คือ ‘การฆ่า’ มิใช่การเปิดทางให้ ส.ส. อย่างที่พูดกัน?

7.ถล่มกลุ่มแพทย์และพยาบาลไม่ให้ช่วยคนเจ็บ


เมื่อประสบเหตุ ตามหลักสากลปฏิบัติ ทีมแพทย์และสื่อมวลชนต้องได้รับการคุ้มครองเป็นกรณีพิเศษในยามศึกสงคราม เพื่อให้แพทย์ทำหน้าที่รักษาทุกคนไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหน แต่เหตุการณ์วันที่ 7 ตุลา 2551น่าจะถูกบันทึกเอาไว้ได้ว่า ตำรวจไทยไม่เข้าใจเรื่องนี้และไม่สนใจเอาเลย เพราะทันทีที่หน่วยแพทย์วิ่งเข้าหาผู้บาดเจ็บ สิ่งที่ตำรวจไทยทำก็คือ การยิงกระหน่ำเข้าใส่ทั้งรถพยาบาล ทั้งเต็นท์พยาบาล รวมถึงเจ้าหน้าที่ที่โดนสะเก็ดระเบิดลูกหลงครั้งนี้อีก 7 คนเป็นอย่างน้อย ส่งผลให้กลุ่มแพทย์ 8 สถาบันออกมาเคลื่อนไหวกันทันทีในวันต่อมา ว่าจะไม่รับรักษาตำรวจที่ไม่ให้เกียรติแพทย์และทีมพยาบาล โดยตำรวจที่แต่งชุดเต็มยศมาจะถูกปฏิเสธการรักษา และต่อมาก็มีกัปตันการบินไทยประกาศบอยคอตนักการเมืองที่ร่วมฆ่าประชาชนครั้งนี้ด้วยการไม่ยอมให้นั่งเครื่องบินที่เขาเป็นคนขับ

8. ภาคประชาชนจะเปิดการเมืองใต้ดิน

บทความของ ดร. ชัยอนันต์ สมุทวณิช ใน นสพ. ผู้จัดการรายวัน ตีพิมพ์วันที่ 12 ต.ค. 2551 ได้วิเคราะห์การเมืองถึงกรณี 7 ตุลาวิปโยค โดยตั้งหัวเรื่องว่า “ลงใต้ดิน” ได้อย่างน่าสนใจ โดย อ.ชัยอนันต์ได้ให้เหตุผลความชอบธรรมของการตั้งม็อบหน้ารัฐสภา ในวันแถลงนโยบายของรัฐบาลไว้ 4 ข้อ เช่น ที่พธม.เข้าไปปิดล้อมหน้ารัฐสภา แต่ไม่ได้บุกรุกไปในบริเวณรัฐสภาเพื่อแสดงว่าไม่ยอมรับที่จะให้รัฐบาลแถลงนโยบายได้ แสดงว่า ฝ่ายพธม.ไม่ต้องการการแตกหัก-แต่ฝ่ายรัฐบาลโดยเฉพาะตำรวจกลับตัดสินใจยิงแก๊สน้ำตาผสมระเบิดถี่เกินความจำเป็น และการบาดเจ็บล้มตายของประชาชนน่าจะเกิดจากการใช้อาวุธร้ายแรงประเภทอื่น-ในระหว่างเหตุการณ์นั้น สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงแสดงความห่วงใยพระราชทานเงิน และคณะแพทย์พยาบาลมาช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ แต่ตำรวจก็ยังยิงแก๊สน้ำตาใส่ประชาชน โดยไม่เกรงในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อประชาชน หรือทำให้ตำรวจรู้สึกสำนึก และหยุดการปฏิบัติการรุนแรงต่างๆ เป็นต้น ในช่วงท้าย อ.ชัยอนันต์ได้ตั้งข้อสังเกตอีกว่า เมื่อการเคลื่อนไหวอย่างอหิงสา ภายใต้กรอบของ รัฐธรรมนูญบังเกิดผลเช่นนี้ ประชาชนอาจเคลื่อนไหวอย่างสันติเป็นครั้งสุดท้าย เป็นไปได้ว่าประชาชนจะเลือกทำการเคลื่อนไหวใต้ดินแบบปิดลับ นักการเมืองที่ฉ้อฉลอาจอยู่ในบัญชีดำ และการลอบสังหารทางการเมือง ตลอดจนการก่อความรุนแรงในรูปของการก่อวินาศกรรม อาจเกิดขึ้นเป็นระยะๆ-ไม่ต้องแปลกใจหากคุณจะเห็นภาพหรือข่าวว่ามีประชาชนมากมายวิ่งไล่ตีมอเตอร์ไซค์ตำรวจจน ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์หลายพื้นที่ต้องวิ่งหนีหูตูบกระเจิดกระเจิง-ที่นักข่าวประจำทำเนียบฯรวมถึงนักข่าวประจำการชุมนุม เมาท์กันว่าตำรวจบางนายไม่กล้าใส่เครื่องแบบตำรวจไปปฏิบัติงานภาคสนาม หรือข่าวการประกาศไม่ให้การรักษาตำรวจและนักการเมืองเลวของแพทย์ 8 สถาบันนั้นบ่งชี้ถึงความรู้สึกต่อต้านการกระทำของตำรวจได้เป็นอย่างดี-ที่สำคัญ หัวข้อบทความที่ว่า “ลงใต้ดิน” อาจจะทำให้หลายคนนึกถึง “ขบวนการไออาร์เอ” หรือกองทัพสาธารณรัฐไอร์แลนด์ ซึ่งเป็นชื่อขบวนการของชนส่วนน้อยชาวไอริช-คาทอลิก ในดินแดนตอนเหนือของเกาะไอร์แลนด์ที่ต่อสู้ด้วยอาวุธกับกองทหารอังกฤษขบวนการใต้ดินจะเกิดขึ้นเมื่อประชาชนส่วนใหญ่ไม่สามารถแสวงหาความเป็นธรรมจากฝ่ายรัฐฯ ได้ หลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 การเข้าป่าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยของชาวบ้านและปัญญาชนก็คือวิถีใต้ดินหนึ่งเช่นเดียวกัน ขณะที่ในปัจจุบันขบวนการใต้ดินเพื่อสู้กับอำนาจรัฐที่ใหญ่ที่สุดก็คือ 3 จังหวัดภาคใต้ที่ตอนนี้ยังหาความสงบไม่เจอ...หรือ 7 ตุลาคม จะเป็นการจุดชนวนระเบิดของภาคประชาชนใต้ดินกับเจ้าหน้าที่ในสมรภูมิที่กรุงเทพฯกัน ?

9. ตำรวจอ้างว่าผู้ชุมนุมพกระเบิดบึ้มตัวเอง

ภาพของ “ตี๋” - ชิงชัย อุดมเจริญกิจ ศิลปินนักวาดรูป ซึ่งอยู่ในกลุ่มแนวร่วมศิลปินประชาธิปไตย เลือดโซมกาย พวงกุญแจที่เขากำอยู่ในมือซ้ายนั้นได้รับการบิดเบือนจากตำรวจโดยการใส่ร้ายป้ายสีว่าเป็น “ระเบิด M 79” เรื่องตลกก็คือ ถ้าตี๋ถือระเบิดจริงและระเบิดลูกนั้นก็บึ้มไปแล้ว แล้วเขายังจะมีมือมาถือระเบิดอีกลูกอยู่ได้ยังไง กรณีของศิลปินที่ถูกปั้นเรื่องอันเป็นเท็จเพื่อปัดความรับผิดชอบนี้แสดงถึงฝีมือของการหาแพะโดยตำรวจไทยว่าเก่งที่สุดในโลกทีเดียวเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ กวีรัตนโกสินทร์ กล่าวว่า เป็นการใส่ร้ายป้ายสีประชาชนมือเปล่าที่เกิดขึ้นซ้ำเหมือนเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516, 6 ตุลาคม 2519 และ 17 พฤษภาคม 2535 นอกจากนี้ กลุ่มแนวร่วมศิลปินประชาธิปไตย ยังจะจัดนิทรรศการศิลปะและดนตรีเพื่อช่วยเหลือนายตี๋ - ชิงชัย อุดมเจริญกิจ เร็วๆ นี้ไม่เฉพาะแต่ “ตี๋” - ชิงชัย อุดมเจริญกิจ ทางฝ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจยังมีข้อสรุปว่า ฝ่ายพันธมิตรฯ ได้นำระเบิดมาร่วมชุมนุมและส่งผลให้ผู้ชุมนุมที่ต้องบาดเจ็บสาหัส แขนขาด ขาขาด หรือกระทั่งเสียชีวิตนั้น ล่าสุด นพ.ดิเรก ภาคกุล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลบางคล้า ออกมาให้สัมภาษณ์กรณีนี้ว่า ในมือที่คนเจ็บถืออยู่นั้นเป็นพวงกุญแจหนังสีออกน้ำตาล นอกจากนี้ ทาง รพ.รามาธิบดี ที่รับตัวคุณตี๋ได้ยืนยันเช่นเดียวกัน
10.ฤทธิ์มือตบอาละวาดไปทั่ว !!

มือตบได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นธรรมและอารมณ์ของประชาชนไปโดยปริยาย ถือเป็นครั้งแรกในเมืองไทยที่มีสัญลักษณ์อย่างเป็นทางการ ที่สำคัญประชาชนไม่กลัวที่จะตบใส่เหล่าทรราช และคนที่เปิดให้มีการฆ่าประชาชน ไม่ว่าจะเป็น พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติก็โดน พร้อมตะโกนว่า " พัชรวาท ไอ้ฆาตกร ตำรวจฆ่าประชาชน ออกไป" หลังจากที่ลากหน้าหนาๆ ของตัวเองไปในการพระราชทานเพลิงศพน้องโบว์ ทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นคนเขียนใบสั่งตายให้น้องโบว์ด้วยตนเองเช่นเดียวกับ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ที่ในวันนองเลือดไปยืนเคียงข้างทรราชสมชาย และไม่มีปฏิกิริยาตอบรับ – ปฏิเสธใดๆ กับการที่ประชาชนถูกทำร้ายจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ “การไม่ปฏิเสธคือการยอมรับ” ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ได้ถูกประชาชนชูมือตบขึ้นมาเขย่าไล่ พร้อมตะโกนถามว่า "ทหารยังอยู่ข้างประชาชนหรือเปล่า ยังทนไหวอีกเหรอที่ต้องเห็นประชาชนเป็นอย่างนี้

ภาพ พ.ต.อ.ลือชัย สุดยอด กำลังขว้างระเบิดใส่กลุ่มผู้ชุมนุมจากหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์



หมาลอบกัด 20 พย. ตี 3 กว่าฯ

ผู้จัดการออนไลน์ – แหล่งข่าวหน่วยข่าวกรองทหารบกเผย “นายพลคนดัง” นัดประชุมลูกน้องนับสิบที่เซ็นทรัล ปิ่นเกล้า ก่อนลงมือเมื่อคืนที่ผ่านมา ใช้ “จ่าหลิม-จ่าเทพ” เป็นทีมงาน ยืนยันผู้บังคับบัญชาทราบแล้ว แต่ก็ปล่อยให้เกิดเหตุสลดอีก “พล.อ.ปฐมพงษ์” ยืนยันระเบิด M-79 ชี้คนยิงต้องเชี่ยวชาญรายงานจากหน่วยข่าวกรองทหารบก แจ้งว่า ก่อนหน้าเกิดเหตุระเบิดในทำเนียบรัฐบาลในช่วงประมาณ 03.00 น. ช่วงเช้ามืดของวันที่ 20 พ.ย. ชุดปฏิบัติการของ “นายพลคนดัง” ที่ข่มขู่ลอบทำร้ายพันธมิตรฯ ด้วยอาวุธสงคราม ได้นัดประชุมวางแผนพร้อมกับชายฉกรรจ์ตัดผมเกรียนกว่า 10 นาย ที่ร้านกาแฟชื่อดังในศูนย์การค้าเซ็นทรัล ปิ่นเกล้าโดยนายพลคนดังมอบหมายให้ “จ่าหลิม” หรือ “จ่าหลิว” เป็นหัวหน้าชุดยิงระเบิด M-79 สำหรับจ่าหลิม อายุประมาณ 50 ปี รูปร่างท้วมเตี้ย เป็นทหารติดตามนายพลคนดัง ทำหน้าที่ขับขับรถเบนซ์ วีโต้ สีเทา-ดำ พาหนะของนายพลคนดัง ปัจจุบันจ่าหลิมรับราชการสังกัดหน่วยทหารย่านเกียกกายส่วนชุดเก็บซ่อนอาวุธสงคราม นำโดยทหารระดับ ผบ.ร้อย ยศร้อยเอก สังกัดหน่วยทหารยานเกราะ ใบหน้ามีรอยบาก สังเกตได้ชัดเจน ทำงานรับจ้างคุ้มครองผับชื่อดังย่านซอยทองหล่อ 21 ทำหน้าที่ซุกซ่อนอาวุธสงครามที่ทำร้ายพันธมิตรฯ ไว้ในหน่วยทหารสำหรับชุดก่อกวนด้วยวัตถุระเบิด นำโดย “จ่าเทพ” ทหารนอกราชการ บุคลิกหน้าตาแบบคนไทยแท้โบราณ โดยมีทหารบกยศจ่าจากจังหวัดจันทบุรีร่วมเป็นทีมงาน ทั้งนี้ ก่อนเกิดเหตุระเบิด หน่วยข่าวกรองทหารบกได้รายงานข้อมูลดังกล่าวไปให้ผู้บังคับบัญชาทราบแล้วเพื่อหามาตรการป้องกัน แต่ก็ยังเกิดเหตุระเบิดขึ้นอีกด้าน พล.อ.ปฐมพงษ์ เกษรศุกร์ อดีตประธานที่ปรึกษาคณะกรรมการกองบัญชาการทหารสูงสุด และที่ปรึกษาด้านความปลอดภัยของกลุ่มพันธมิตรฯ ได้กล่าวบนเวทีทำเนียบรัฐบาลในช่วง 13.15 น.ที่ผ่านมา โดยยืนยันว่าจากการตรวจสอบแล้วยืนยันว่าเป็นระเบิดชนิด M-79 อย่างแน่นอน และการยิงจะต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญปฏิบัติการพร้อมกัน 2 คน


ประมวลเหตุการณ์ “ลิ่วล้อสัตว์นรก” สุดป่าเถื่อน

ลอบทำร้าย-ก่อกวนการชุมนุมพันธมิตรฯ แบบรายวัน ตลอดเวลา 1 เดือนที่ผ่านมา ทั้งวางระเบิด-ยิงปืนขู่ นับครั้งไม่ถ้วน ล่าสุดถึงขั้นมีผู้สังเวยชีวิต 1 ราย บาดเจ็บอีกหลายสิบ ขณะที่ตำรวจไม่สามารถติดตามตัวคนร้ายได้แม้แต่คนเดียวปรากฏการณ์ที่รัฐบาลนอมินี ปล่อยให้กลุ่มอันธพาลใช้ความรุนแรงป่าเถื่อนก่อกวน-ทำลายการเคลื่อนไหวของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เริ่มมาตั้งแต่การจัดสัมมนาที่หอประชุมมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

เมื่อวันที่ 28 มีนาคม และวันที่ 25 เมษายน 2551 มาจนถึงการชุมนุมต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม ก่อนที่จะเคลื่อนมายังสะพานมัฆวานรังสรรค์ โดยใช้กลุ่ม นปช.ขว้างปาก้อนอิฐ ถุงอุจจาระ ยิงหนังสติ๊กลูกแก้ว-นอตเข้าใส่ แม้กระทั่งใช้ไม้หน้าสามไล่ทุบตี โดยที่ตำรวจได้แต่มองตาปริบๆหลังจากนั้น ตลอดช่วงที่พันธมิตรฯ เปลี่ยนสถานที่ชุมนุมจากสะพานมัฆวานฯ ไปยังหน้าทำเนียบ กลับมาที่สะพานมัฆวานฯ อีกครั้ง และย้อนไปยึดพื้นที่ภายในทำเนียบ รัฐบาลนอมินีได้หันมาใช้มาตรการทางกฎหมายสลับกับความป่าเถื่อนรุนแรงเพื่อยับยั้งการชุมนุมของพันธมิตรฯ ให้ได้
โดยความป่าเถื่อนได้ทะลักขีดสุดในวันที่ 7 ตุลาคม เมื่อตำรวจระดมยิงระเบิดแก๊สน้ำตาเข้าใส่พันธมิตรฯ ที่ขยายการชุมนุมไปที่หน้ารัฐสภา เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 2 คน บาดเจ็บ 471 คน และทำให้ภาพลักษณ์ของรัฐบาลตกต่ำอย่างหนัก ซ้ำถูกสอบสวนเอาผิดโดย ป.ป.ช.และถูกประชาชนที่ตกเป็นเหยื่อความรุนแรงฟ้องร้องดำเนินคดีซ้ำหลังจากนั้น ฝ่ายรัฐบาลได้ใช้วิธีการนอกเกมเข้ามาก่อกวน-ทำลายการชุมนุมของพันธมิตรฯ ในลักษณะลับ ลวง พราง โดยที่ไม่สามารถระบุได้ว่าใครเป็นคนกระทำ ขณะที่บางครั้งก็ออกข่าวในทำนองว่าพันธมิตรฯ สร้างสถานการณ์เอง ซึ่งได้ผล 2 ด้าน ทั้งในแง่การข่มขู่พันธมิตรฯ และทำลายความน่าเชื่อถือของพันธมิตรฯ ไปในตัว ขณะที่ตำรวจไม่กระตือรือร้นที่จะติดตามหาตัวคนร้ายมาดำเนินคดีแต่อย่างใดปรากฏการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นอย่างถี่ยิบ นับตั้งแต่พันธมิตรฯ ได้รื้อเวทีปราศรัย บริเวณสะพานมัฆวาน เมื่อวันที่ 22 ต.ค. เพื่อเปิดเส้นทางให้กับพิธีถวายสักการะสมเด็จพระปิยมหาราช


ในวันที่ 23 ตุลาคม ซึ่งคนร้ายได้ฉวยโอกาสจากการที่เวทีปราศรัยที่ถือเป็นแนวกั้นอย่างดี ถูกรื้ออกไป เข้ามาก่อกวนทันที ตั้งแต่ ช่วงบ่าย วันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2551 วันแรกของการเปิดเส้นทางจราจรบริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ ขณะที่การ์ดพันธมิตรฯ กำลังรื้อเต็นท์ ได้มีคนร้ายขว้างประทัดยักษ์ออกจากรถตู้สีขาวเข้าใส่ เสียงดังสนั่นหวั่นไหว แม้ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือสร้างความเสียหาย แต่ถือเป็นการข่มขู่ หลังจากมีการเปิดพื้นที่ให้ฝ่ายตรงข้ามเข้าประชิดตัวได้ง่ายขึ้น

วันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ.2551 เวลา 03.20 น.คนร้ายขว้างระเบิดเอ็ม 79 เข้าใส่การ์ดพันธมิตรฯ ที่สะพานมัฆวาน ทำให้การ์ดได้รับบาดเจ็บประมาณ 10 คน บาดเจ็บรุนแรงต้องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลวชิระ 6 คน บาดเจ็บสาหัส 2 คน และจนถึงขณะนี้ยังคงอยู่ในห้องไอซียู 1 คน และในเวลาไล่เลี่ยกัน คนร้ายได้ปีนแนวกั้นของตำรวจด้านหลังกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) แล้วยิงปืนเข้าใส่การ์ดพันธมิตรฯ บริเวณใกล้สี่แยกมิสกวัน จนต้องมีการตอบโต้ และในตอนเช้าพบชายชุดดำนอนเสียชีวิตอยู่ข้างกำแพง บชน. โดยในวันเดียวกันนั้นคนร้ายได้ปาระบาดเข้าใส่บ้านนายจรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการรัฐธรรมนูญด้วย

วันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ.2551 เวลาประมาณ 02.00 น.คนร้ายนั่งรถเบนซ์สีดำ ทะเบียน 4444 โยนระเบิดควันใกล้สะพานมัฆวานฯ แต่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ ซึ่งตำรวจอ้างว่าเป็นแค่ประทัดเล็กๆไม่มีการปาระเบิด และเชื่อว่าเป็นการก่อกวนวันที่ 2 พฤศจิกายน 2551 เวลาประมาณ 02.00 น.กลุ่มวัยรุ่นจำนวน 5 คน ขับรถเก๋งเข้ามายังบริเวณสะพานมัฆวาน และชูนิ้วกลางให้การ์ดพันธมิตรฯ แล้วยิงปืนเข้าใส่ หลังจากนั้นพยายามขับรถหนีแต่ถูกสกัดจับไว้ได้

วันที่ 4 พฤศจิกายน 2551 เวลาประมาณ 02.00 น.มีเสียงระเบิดบริเวณเชิงสะพานอรทัย ห่างจากแผงเหล็กกั้นบริเวณชุมนุมของพันธมิตรฯ เพียง 3 เมตร แรงระเบิดทำให้พื้นถนนเป็นหลุมลึก 2.5 เซนติเมตร ขวดน้ำแตกกระจาย มีรอยสะเก็ดระเบิดที่ต้นไม้และกระสอบทราย เบื้องต้นคาดว่าน่าจะเป็นการยิงระเบิดจากด้านนอก เพราะบริเวณเกิดเหตุไม่มีผู้ใดเห็นผู้ต้องสงสัยแต่อย่างใดทั้งนี้ จากเหตุการณ์ที่ถูกก่อกวน และลอบทำร้ายมาอย่างต่อเนื่อง โดยที่เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่สามารถติดตามจับกุมคนร้ายได้แม้แต่คนเดียว (อ่านข่าว ตำรวจยังมึน เหตุคนร้ายปาระเบิดใส่พันธมิตรฯ) ขณะที่นายทหารนอกแถวบางคนยังข่มขู่จะมีการยิงระเบิดเข้าใส่ที่ชุมนุมพันธมิตรฯ อยู่ทุกวัน

วันที่ 7 พ.ย. เวลาประมาณ 01.00 น. เกิดเหตุระเบิดขึ้น 2 ครั้ง บริเวณเชิงสะพานมัฆวานรังสรรค์ ด้านฝั่งหน้าตึกอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ และบริเวณถนนเรียบคลองผดุงกรุงเกษม ด้านข้างรั้วกระทรวงศึกษาธิการในเวลาไล่เลี่ยกัน ขณะเกิดเหตุระเบิดมีกลุ่มควันสีขาวขนาดใหญ่และมีเสียงดังทั่วบริเวณเสียงคล้ายประทัดยักษ์ ภายหลังจากการ์ดอาสาพันธมิตรฯ ได้เข้าตรวจสอบพื้นที่ ไม่พบเห็นความเสียหาย กลุ่มคนร้าย หรือสะเก็ดระเบิดแต่อย่างใด เชื่อว่าน่าจะเป็นฝีมือของกลุ่มบุคคลที่ไม่หวังดี และต้องการสร้างสถานการณ์ก่อกวนการชุมนุมของพันธมิตรเท่านั้นต่อมาเวลาประมาณ 04.00 น.มีเสียงปืนดังขึ้นหลายนัด บริเวณถนนข้างสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ติดกับโรงเรียนเบญจมบพิตร เมื่อการ์ดพันธมิตรฯ เข้าตรวจสอบบริเวณจุดเกิดเหตุ ไม่มีผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต รวมไปถึงไม่พบร่องรอยวัตถุที่คนร้ายใช้ทำระเบิดแต่อย่างใด ขณะที่จากการสอบถามผู้เห็นเหตุการณ์ เปิดเผยว่า หลังเกิดเหตุเห็นชายต้องสงสัยวิ่งหนีขึ้นรถจักรยานยนต์แบบผู้หญิงไม่ทราบแผ่นป้ายทะเบียนหลบหนีไปต่อมามีเสียงปืนดังขึ้น 2-3 นัด บริเวณถนนอีกด้านของคลองตรงข้ามกับ สำนักงาน ป.ป.ช. ซึ่งอยู่ใกล้กับจุดเกิดเหตุเดิม โดยการ์ดพันธมิตรฯได้ตะโกนให้ทุกคนหมอบลง ขณะผู้สื่อข่าววิ่งหนีหลบเข้าไปภายใน ป.ป.ช.ทั้งนี้ เสียงที่ได้ยินคล้ายเสียงปืนและระเบิด ยังไม่ทราบว่าเป็นฝีมือของกลุ่มใด

วันที่ 8 พ.ย. 51 เวลาประมาณ 04.40 น. คนร้ายปาระเบิดเข้าใส่เต็นท์นอนนักรบอิสระ 9 ในที่ชุมนุมของพันธมิตรฯบริเวณสนามหญ้าหน้าตึกสันติไมตรี เยื้องเวทีปราศรัยประมาณ 250 เมตร แรงระเบิดทำให้เกิดหลุมลึกประมาณ 10 ซม. กว้าง 20 ซม. มีผู้บาดเจ็บ 1 ราย คือนายเมธี อู่ทอง มีบาดแผลบริเวณหน้าผากด้านซ้าย และบริเวณหน้าอก ถูกส่งตัวไปรักษาตัวต่อที่ รพ.วชิระพยาบาลและย้ายไปที่ รพ.จุฬาลงกรณ์ การ์ดของกลุ่มพันธมิตรฯ ผู้เห็นเห็นเหตุการณ์บอกว่า เห็นกลุ่มควันก่อนมีเสียงระเบิดดังขึ้นที่เต็นท์ดังกล่าว แต่เนื่องจากจุดที่เกิดเหตุและบริเวณใกล้เคียงค่อนข้างมืด ทำให้ไม่เห็นตัวคนร้ายว่าขว้างระเบิดมาจากจุดใด ขณะที่การสอบสวนของตำรวจยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ

วันที่ 11 พ.ย. เวลาประมาณ 03.25 น. เกิดเหตุระเบิดขึ้นที่บริเวณเต็นท์พันธมิตรฯ ห่างจากเวทีปราศรัย เยื้องไปทางขวามือเพียง 50 เมตร จากการตรวจสอบเบื้องต้นคาดว่าคนร้ายน่าขว้างระเบิดเข้ามา แล้วตกบนหลังคาเต็นท์ของผู้ชุมนุมก่อนเกิดการระเบิด โดยภายหลังจาการระเบิด ส่งผลให้เต็นท์มีรู้กว้างขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 เมตร มีผู้บาดเจ็บเล็กน้อย 3 ราย เป็นที่น่าสังเกตว่าจุดระเบิด อยู่ในแนวเดียวกันกับเหตุระเบิดเมื่อวันที่ 4 พ.ย. โดยขยับเข้าใกล้เวทีปราศรัยเพียง 50 เมตรเท่านั้น เหตุการณ์ครั้งนี้การ์ดพันธมิตรฯ จับผู้ต้องสงสัยได้ 1 คน และมอบให้ตำรวจ สน.ดุสิตนำตัวไปสอบสวนพล.อ.ปฐมพงษ์ เกษรศุกร์ อดีตประธานคณะที่ปรึกษากองบัญชาการกองทัพไทย กล่าวว่า ลักษณะของระเบิดน่าจะเป็นเครื่องยิงระเบิดวิถีโค้ง โดยมีระยะยิง 150 เมตร ซึ่งถูกยิงมาตกลงกลางหลังคาเต็นท์ โดยระเบิดลูกดังกล่าวตกลงมาตรงที่มีคนนอนยู่พอดี แต่โชคดีที่ตกมาบนหลังคาเต็นท์เสียก่อนทำให้มีผู้บาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และจากการสอบถามคนที่เห็นเหตุการณ์ จึงพอสรุปได้ว่าระเบิดลูกดังกล่าวสามารถทำอันตรายจนถึงชีวิตได้ขณะที่ พล.ต.ต.สุพร พันธุ์เสือ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ฐานะโฆษกกองบัญชาการตำรวจนครบาล อ้างว่าไม่ใช่ระเบิดเอ็ม 29 และไม่ใช่การยิงจากรอบนอกเข้ามา แต่เป็นการระเบิดขึ้นจากภายใน ส่วนจะเป็นระเบิดเอ็ม 79 หรือไม่นั้นคงเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากอานุภาพทำลายล้างต้องมากกว่า นอกจากนั้นยังอ้างว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่ได้เข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ เนื่องจากพันธมิตรฯ ยังไม่อนุญาตให้เข้าไปภายใน ส่วนกรณีที่ตำรวจสามารถจับกุมผู้ต้องสงสัยได้ 1 คนนั้น จากการสอบสวนพบว่าไม่น่ามีส่วนเกี่ยวข้องจึงปล่อยตัวไป และไม่สามารถตอบได้ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นการสร้างสถานการณ์ของกลุ่มพันธมิตรฯ หรือไม่ล่าสุด

วันที่ 20 พฤศจิกายน 2551 เวลา 03.25 น. คนร้ายยิงระเบิดเอ็ม 79 เข้าใส่เต็นท์ของผู้ชุมนุมในทำเนียบรัฐบาลก่อนเกิดการระเบิดขึ้น ทำให้เต็นท์มีรู้กว้างขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 20 ซม. จุดเกิดเหตุอยู่ห่างจากเวทีปราศรัยเพียงแค่ 15 เมตร ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บทันที จำนวน 23 ราย อาการสาหัส 2 ราย และเสียชีวิต 1 รายในเวลาต่อมา คือ นายเจนกิจ กลัดสาคร ชาวจังหวัดชลบุรี ในจำนวนผู้บาดเจ็บมีช่างภาพของ ASTV คือนายนพพร สุขราม รวมอยู่ด้วยโดยสรุปเหตุการณ์ลอบทำร้ายพันธมิตรฯ ด้วยการขว้างและยิงระเบิด ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่กลางเดือนตุลาคมที่ผ่านมานั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่สามารถจับกุมผู้กระทำความผิดได้ อีกทั้งยังปล่อยให้มีการก่อเหตุอย่างสะดวก ก่อนที่จะออกมาให้สัมภาษณ์ในภายหลังในลักษณะกล่าวหาว่าพันธมิตรฯ เป็นผู้สร้างสถานการณ์ แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจเองกลับไม่ได้มีการสอบสวนหรือดำเนินการติดตามหาตัวผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดีแต่อย่างใดนอกจากนี้ หลังเกิดเหตุแทบทุกครั้ง พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก ที่ออกมาเคลื่อนไหวร่วมกับกลุ่มผู้รับใช้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในนาม นปช.ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ในลักษณะข่มขู่ว่าจะมีการยิงระเบิดร้ายแรงเข้าไปในทำเนียบรัฐบาล จนกว่าพันธมิตรฯ จะออกจากทำเนียบ แต่ตำรวจกลับไม่ได้มีการนำตัว เสธ.แดงมาสอบสวนหาเบาะแสผู้กระทผิด หรือส่งสายสืบไปติดตามพฤติกรรมของ เสธ.แดง แต่อย่างใด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น